ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ อยู่ในอาการปลื้มปริ่มเมื่อวันพุธ (25 มิ.ย.) จากการที่สงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านยุติลงได้อย่างรวดเร็ว โดยยังคงรักษาข้อตกลงหยุดยิงซึ่งทำท่าง่อนแง่นมากในช่วงแรกๆ เอาไว้ได้ พร้อมกับแสดงความคาดหวังว่าจะสานสัมพันธ์กับอิหร่านในแบบที่เตหะรานต้องไม่จัดทำโครงการนิวเคลียร์ขึ้นมาใหม่ ถึงแม้ยังไม่มีความแน่นอนชัดเจนว่าการโจมตีของสหรัฐฯได้สร้างความเสียหายไปขนาดไหน ทั้งนี้ประมุขทำเนียบขาวยืนกรานว่า การปฏิบัติการของอเมริกาจะทำให้อิหร่านต้องใช้เวลานานนับสิบปีหากจะฟื้นความพร้อมพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ไม่ใช่แค่ไม่กี่เดือนอย่างที่สื่อรายงานโดยอ้างอิงจากข้อมูลที่รั่วไหลจากสำนักงานข่าวกรองทางทหารของสหรัฐฯเอง
ทรัมป์ ซึ่งอยู่ในกรุงเฮก, เนเธอร์แลนด์ ขณะเข้าร่วมการประชุมซัมมิตองค์การนาโต กล่าวว่า การที่เขาตัดสินใจเข้าร่วมกับอิสราเอลในการโจมตีพวกสถานที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิหร่รานด้วยระเบิดยักษ์ “บังเกอร์-บัสเตอร์” คือสิ่งที่ปิดฉากสงครามคราวนี้ โดยที่เขาบอกว่า มันเป็น “ชัยชนะสำหรับทุกๆ คน”
เขาแสดงท่าทีไม่ให้ราคากับรายงานการประเมินผลเบื้องต้นที่จัดทำโดยสำนักงานข่าวกรองกลาโหม (DIA) ของสหรัฐฯ ซึ่งรั่วไหลออกมาและหลายๆ สื่อนำมาเสนอเป็นข่าวเกรียวกราว โดยที่เนื้อหาสำคัญของรายงานนี้ระบุว่า การโจมตีของอเมริกา อาจจะทำให้เส้นทางการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านถอยหลังไปเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น
ทรัมป์ระบุว่า การประเมินผลเช่นนี้ “ยังไม่สมบูรณ์” แต่ตัวเขาเชื่อว่าสถานที่ตั้งนิวเคลียร์เหล่านี้ได้ถูกทำลายราบ “มันหนักหน่วงร้ายแรงมาก มันถูกทำลายจนสิ้นซาก” เขาย้ำ
ด้านสำนักนายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ก็ได้เผยแพร่การประเมิรนผลของหน่วยงานนิวเคลียร์ของอิสราเอล ซึ่งระบว่า การโจมตี “ได้ทำให้ความสามารถในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านถอยหลังกลับไปหลายๆ ปี” โดยที่ทางทำเนียบขาวก็ไม่รอช้า ได้นำเอาการประเมินผลของรัฐยิวนี้ออกมาเผยแพร่ต่อ
ทรัมป์กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า เตหะรานจะไม่พยายามก่อสร้างสถานที่ทางนิวเคลียร์ของตนขึ้นมาใหม่ ตรงกันข้ามพวกเขาจะเดินหน้าไปบนเส้นทางการทูตมุ่งสู่การรอมชอมกัน
“ผมจะบอกให้ สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาต้องการทำคือการเพิ่มสมรรถนะอะไรก็ตามทีในตอนนี้ พวกเขาต้องการการฟื้นตัว” เขาบอก
แต่ถ้าอิหร่านยังพยายามสร้างโครงการนิวเคลียร์ขึ้นมาใหม่ “เราจะไม่ยอมปล่อยให้มันเกิดขึ้น อันดับแรกเลย ในทางการทหารเราจะไม่ยินยอมเลย” เขากล่าว และเสริมว่า เขาคิดว่า “เราจะปิดฉากลงด้วยอะไรบางอย่างเช่นการมีความสัมพันธ์กับอิหร่าน” เพื่อคลี่คลายประเด็นปัญหานี้”
ทางด้าน ราฟาเอล กรอซซี ผู้อำนวยการทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีอ) หน่วยงานดูแลด้านนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ ออกมาแถลงไม่ยอมรับการใช้สิ่งที่เขาเรียกว่า เป็น “วิธีการแบบนาฬิกาทราย” มาประเมินความเสียหายของโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ด้วยการระบุว่ามันจะทำให้อิหร่านถอยหลังกลับไปกี่เดือนกี่ปี เนื่องจากที่จริงแล้วประเด็นปัญหานี้เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขคลี่คลายกันเป็นระยะยาวนาน
“ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ความรู้ทางเทคโนโลยีอยู่ที่นั่น (ในอิหร่าน) แล้ว และศักยภาพทางอุตสาหกรรมก็อยู่ที่นั่นแล้ว เรื่องเนี้ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องทำงานร่วมกับพวกเขา” เขาบอก พร้อมกับย้ำว่าเรื่องสำคัญลำดับแรกสุดคือการทำให้สามารถจัดส่งคณะผู้ตรวจตราระหว่างประเทศกลับเข้าไปยังสถานที่ตั้งนิวเคลียร์ของอิหร่านได้อีกครั้งโดยเขาบอกว่านี่เป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะได้คำตอบอย่างแม่นยำว่ามันอยู่ในสภาพเช่นไรในเวลานี้
ก่อนหน้านี้เมื่อคืนวันอังคาร (24) สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนด้านตะวันออกกลางของประธานาธิบดีทรัมป์ ออกมาแถลงว่า การหารือระหว่างอเมริกากับอิหร่านมีแนวโน้มที่ดี และวอชิงตันหวังว่า จะสามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพระยะยาวที่จะช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ของอิหร่าน
ขณะเดียวกัน ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่ทรัมป์เป็นคนผลักดันดูเหมือนยังได้รับการปฏิบัติตามจากทั้งสองฝ่าย โดยเมื่อเวลา 20.00 น. วันอังคาร กองทัพอิสราเอลได้ยกเลิกการจำกัดกิจกรรมทั้งหมดทั่วประเทศ และท่าอากาศยานเบน กูเรียน ซึ่งเป็นสนามบินหลักที่อยู่ใกล้เมืองเทลอาวีฟ เปิดให้บริการอีกครั้ง ขณะที่สำนักข่าวนูร์นิวส์ของอิหร่านรายงานว่า อิหร่านกลับมาเปิดน่านฟ้าตามปกติเช่นเดียวกัน
วันเดียวกันนั้น นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู อ้างว่า การโจมตีของอิสราเอลในสงคราม 12 วันนี้ได้ทำลายภัยคุกคามจากนิวเคลียร์และขีปนาวุธทิ้งตัวของอิหร่าน แต่สำทับว่า อิสราเอลพร้อมจัดการขั้นเด็ดขาด หากเตหะรานพยายามฟื้นโครงการอาวุธขึ้นมาอีก
ด้านประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียนของอิหร่าน คุยว่า เตหะรานสามารถยุติศึกสำเร็จซึ่งถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังกล่าวกับมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมานของซาอุดีอาระเบียว่า อิหร่านพร้อมแก้ไขความขัดแย้งกับอเมริกา
ทั้งนี้ อิสราเอลเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่ออิหร่านเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. โดยโจมตีสถานที่ตั้งทางนิวเคลียร์หลายแห่ง รวมทั้งยังสังหารผู้บัญชาการทหารระดับสูงและนักวิจัยนิวเคลียร์สำคัญของอิหร่านหลายคน สร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดนับจากที่อิหร่านทำสงครามกับอิรักในช่วงทศวรรษ 1980
ทางฝ่ายอิหร่านที่ปฏิเสธว่า ไม่ได้พยายามพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ตามที่อิสราเอลใช้เป็นข้ออ้างในการเปิดสงครามทางอากาศนั้น ตอบโต้ด้วยการระดมยิงขีปนาวุธใส่ที่ตั้งทางทหารและเมืองต่างๆ ในอิสราเอล
ทางการอิหร่านเผยว่า สงครามนี้ทำให้ในอิหร่านมีผู้เสียชีวิต 610 คน และบาดเจ็บเกือบ 5,000 คน ส่วนอิสราเอลมีผู้เสียชีวิต 28 คน
ก่อนสงครามสงบ 2 วัน อเมริกาส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดถล่มโรงงานนิวเคลียร์หลายแห่งของอิหร่าน ซึ่งรวมถึงโรงงานใต้ดินที่เป็นศูนย์เพิ่มสมรรถนะยูเรเนียม และทรัมป์คุยว่า สามารถทำลายล้างโครงการนิวเคลียร์และทำให้อิหร่านไม่สามารถผลิตระเบิดปรมาณูได้ ซึ่งเท่ากับเป็นการสะสางประเด็นขัดแย้งหลักในการเจรจาระหว่างวอชิงตันกับเตหะรานก่อนหน้านี้
ทว่า สื่อในอเมริการายงานเมื่อวันอังคารโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่รับรู้รายงานข่าวกรองของสำนักงานข่าวกรองกลาโหมของสหรัฐฯว่า การโจมตีของอเมริกาไม่ได้ทำลายล้างเครื่องหมุนเหวี่ยงหรือสต็อกยูเรนียมเสริมสมรรถนะของอิหร่านอย่างราบคาบดังที่ทรัมป์อวดอ้าง อีกทั้งยังเพียงแค่ปิดกั้นทางเข้าโรงงานนิวเคลียร์บางแห่ง แต่ไม่สามารถทำลายตัวโรงงานที่อยู่ใต้ดิน รวมทั้งทำให้โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านชะงักงันแค่ไม่กี่เดือน
ทางด้านมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ที่ร่วมเดินทางไปกับกรุงเฮกกับทรัมป์ เผยว่า อเมริกาได้เริ่มสอบสวนกรณีที่รายงานของดีไอเอรั่วไหล พร้อมยืนยันว่า สื่อบิดเบือนเนื้อหาในรายงานดังกล่าว
ขณะเดียวกัน สมาชิกรัฐสภาอิหร่านลงมติระงับการร่วมมือกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) ในสังกัดสหประชาชาติ เมื่อวันพุธ โดยโมฮัมหมัด บาเกร์ กาลิบาฟ ประธานรัฐสภาอิหร่าน ระบุว่า ไอเออีเอปฏิเสธแม้กระทั่งการประณามการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน
อย่างไรก็ดี การตัดสินใจนี้ยังต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้พิทักษ์ที่มีหน้าที่ตรวจสอบและอนุมัติกฎหมาย
ก่อนหน้านี้ เปเซชเคียนกล่าวว่า อิหร่านยินดีกลับสู่การเจรจาด้านนิวเคลียร์ แต่จะยังคงยืนยันสิทธิ์โดยชอบธรรมในการใช้พลังงานปรมาณูเพื่อสันติต่อไป
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี)