นายกรัฐมนตรีอ้างเรื่องคลิปเสียงฮุน เซน ที่หลุดออกมา ตัวเองไม่ได้อะไร และไม่ทำให้ประเทศไทยเสียหาย หลัง สว.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ สั่ง ครม. ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิด และทำงานใกล้ชิดประชาชนอ้างความสามัคคี
วันนี้ (24 มิ.ย.) จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับหรือไม่รับคำร้องจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในวันที่ 1 ก.ค. นี้ ว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) และไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ กรณีคลิปเสียงการสนทนากับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา หลัง สว. จำนวน 36 คน ยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภาเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. และยื่นคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ
ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ประเมินในเรื่องนี้ โดยพร้อมสนับสนุนข้อมูล และชี้แจง เพราะคลิปเสียงที่หลุดออกมา ยืนยันว่า เป็นเรื่องที่ผู้นำแต่ละประเทศใช้เจรจาอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าในคลิปเสียงตนเองไม่ได้อะไร และไม่ทำให้ประเทศไทยเสียอะไร ซึ่งเป็นการพูดคุยกัน และไม่ควรจะเปิดเผยการสนทนาแบบส่วนตัว ยืนยัน พร้อมอธิบายทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
"คลิปเสียงที่หลุดออกมา ดิฉันก็ไม่ได้อะไร ไม่ได้ทำให้ประเทศเสียอะไร" น.ส.แพทองธาร ระบุ
พร้อมกันนี้ น.ส.แพทองธาร ยังสั่งการให้คณะรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิด และเตรียมหามาตรการรองรับเพื่อให้กระทบกับประชาชนน้อยที่สุด ยืนยันว่าเสถียรภาพของรัฐบาลมีความสำคัญมาก รวมถึงความสามัคคีของคนในประเทศก็มีความสำคัญมากเช่นกัน จึงขอให้รัฐมนตรีทุกคนทำงานใกล้ชิดกับประชาชนมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจและแก้ไขปัญหาได้อย่างทันการ โดยรัฐบาลให้ความสำคัญอีกหลายด้าน ทั้งภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรมข้ามชาติ ตามรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ได้สั่งการให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ
ทั้งนี้ รัฐบาลไม่มีนโยบายในการตอบโต้กัมพูชาด้วยการเปิด-ปิดด่านชายแดนเพื่อผลทางการเมือง แต่ได้คำนึงถึงผลกระทบของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ โดยเตรียมมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนตามแนวชายแดนไว้อย่างครบถ้วน ทั้งผลกระทบด้านสินค้าการเกษตร โดยสั่งการให้ รมว.พาณิชย์ หามาตรการช่วยเหลือประชาชน ทำอย่างไรให้สามารถช่วยประชาชนเพิ่มได้ ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน และสิ่งที่ทำต้องถึงประชาชนอย่างแท้จริง เพราะไม่อยากให้เกิดผลกระทบ