“ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่” เนื้อหาส่วนหนึ่งของเพลงชาติไทยนั้น สื่อความหมายได้ดีเสมอ โดยเฉพาะเหล่าทหารหาญที่ยอมพลีชีพเพื่อปกปักรักษาอธิปไตยของประเทศไทย
หนึ่งในสถานที่ที่ชวนให้อนุชนคนรุ่นหลังได้รำลึกถึงความเสียสละ ซึ่งคนไทยยังไม่ค่อยรู้จักมากนัก คือ “อนุสาวรีย์พิทักษ์ไทย” ที่สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูและรำลึกถึงเหตุการณ์กรณีพิพาทพรมแดนไทย–กัมพูชา เมื่อ ปี พ.ศ. 2554 ตั้งอยู่ที่บริเวณทางขึ้นปราสาทตาควาย บ้านไทยนิคมพัฒนา ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์
สำหรับประวัติอนุสาวรีย์พิทักษ์ไทยนั้น เกิดจากเหตุการณ์การรบปะทะ ในพื้นที่ปราสาทตาเมือน และปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ห้วงวันที่ 22 เมษายน - 3 พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2554 เป็นเหตุให้ทหารไทยสูญเสียกำลังพล จำนวน 8 นาย และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก
วีรกรรมสละชีพเพื่อชาติในการปกป้องผืนแผ่นดินไทย นับว่าควรค่าแก่การยกย่อง และจดจำ กองกำลังสุรนสรี จึงได้พัฒนาพื้นที่การสู้รบในอดีตให้เป็นแหล่งศึกษาทางประวัติศาสตร์ เพื่อเชิดชูเกียรติ อดีตทหารหาญที่ได้เสียสละชีพในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และกำหนดพื้นที่ก่อสร้างอนุสาวรีย์พิทักษ์ไทย บริเวณทางขึ้นปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์
อนุสาวรีย์พิทักษ์ไทย แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ “ส่วนที่ 1 ฐานอนุสาวรีย์” มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้าง 12 เมตร ยาว 16 เมตร บริเวณกึ่งกลาง มีแท่นฐานขนาด กว้าง 4 เมตร ยาว 4 เมตร สูง 2 เมตร 5 เซนติเมตร สำหรับรองรับรูปปั้นทหาร “ส่วนที่ 2 เป็นรูปปั้นทหารยืนถือปืน” ในลักษณะท่าพร้อมใช้อาวุธ สะพายเครื่องหลัง หล่อด้วยทองเหลืองรมดำ ขนาดเท่าคนจริง ซึ่งได้กระทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน 2564
ความพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์อีกประการ คือ “อนุสาวรีย์พิทักษ์ไทย” ถือเป็นอนุสาวรีย์เพียงแห่งเดียวที่นำพระเครื่องของจริง ซึ่งเป็นวัตถุมงคลตามความเชื่อของไทย มาสวมที่คอของรูปปั้นทหาร โดยหลวงปู่รอด พระครูอาภัสร์ธรรมคุณ (บุญรอด อาภสฺสโร) เป็นผู้สวมด้วยตนเอง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่