กมธ.ทหารฯ สว. ร่อนแถลงการณ์ฉบับ2 ชง ‘วุฒิสภา’ ขอเปิดอภิปรายทั่วไปฯ บี้ ’รัฐบาล‘ แจงสารพัดปมร้อน ’ไทย-กัมพูชา‘ ทุกมิติ หลังยังนิ่งเมินเปิดรัฐสภาถกวิสามัญ ซัดนายกฯ ด้อยความสามารถ ซ้ำร้ายเจอคนนอกรรัฐบาลจุ้นเหยียบย้ำซ้ำเติมหัวใจคนไทย ’เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามเตะตะกร้อ‘ ข้องใจ เรามี ’ผู้นำรัฐบาล‘ เป็นคน ’เขมร‘ หรือไม่ จวก ’กัมพูชา‘ เหลี่ยมเล่ห์ทุกดอก เตือนระวังหากยังปล่อยปละละเลย ระวังถูกรุกล้ำ เสียดินแดนซ้ำรอย ด้าน ‘บิ๊กเกรียง’ แนะใช้เวทีนี้แก้ครหา ’ไทยใจละแวก‘
วันนี้(16มิ.ย.2568 ) เมื่อเวลา13.30น. ที่รัฐสภา พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา(สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การทหาร และความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา พร้อมด้วย กมธ.ฯ แถลงถึงจุดยืนของประเทศไทย เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติกรณีราชอาณาจักรกัมพูชา รุกรานอธิปไตย และมีมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าจากประเทศไทย โดยมีพล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่1 ร่วมแถลงด้วย โดยพล.อ.สวัสดิ์ อ่านแถลงการณ์คณะกรรมาธิการการทหารฯ ฉบับที่2 เรื่อง ขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา ตอนหนึ่งว่า จากเหตุการณ์การกระทบกระทั่งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่เมื่อวันที่28พ.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงผลการประชุมร่วมJBC เมื่อวันที่ 15มิ.ย.ที่ผ่านมาออกมาไม่ค่อยเป็นผลดีกับทางไทยเรานัก ทางกมธ.การทหารฯ สว. เห็นว่า ฝ่ายกัมพูชา ไร้ความจริงใจ และบ่อนทำลายประเทศไทยด้วยสารพัดวิธี เพื่อหวังครอบครองแผ่นดินไทยเป็นของตนเองเรื่อยมา ซึ่งกมธ.ฯ ได้เคยออกแถลงการณ์ฉบับแรก ประณามการกระทำดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชา ไปแล้วเมื่อวันที่6มิ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมกับรอผลการประชุมคณะกรรมาธิการ เขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา (JBC: Joint Boundary Commission) ครังที่ 6 ที่กรุงพนมเปญ ระหว่างวันที่ 14–15มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งการถกแถลงเพื่อรักษาแผ่นดินไทย เป็นการเน้นย้ำว่า ปราสาททั้งหลายที่อยู่บริเวณแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ล้วนอยู่ในความครอบครองของไทยที่เป็นเจ้าของมาหลายร้อยปี ไม่ว่าจะเป็นปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ฯลฯ แต่การที่เราแพ้คดีในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก ถึงสองครั้ง มาจากความไม่เที่ยงธรรมที่เกิดขึ้น ดังนัน เราจะไม่ยอมเสียดินแดนในศาลโลก เป็นครั้งที่ 3 อีกแล้ว
“เพราะเวลานี้หัวใจของประชาชนคนไทย ยอมรับแล้วว่า ผู้น้ารัฐบาลด้อยความสามารถ ขาดภาวะผู้นำ แม้จะมีความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวกับฝ่ายกัมพูชา แต่ไม่ได้ช่วยให้รัฐบาลไทย พูดจาอะไรได้สำเร็จ แม้แต่เรื่องเดียว คนไทยต้องทนฟังคำพูดอันแข็งกร้าว ระคายเคืองหัวใจ ไม่เว้นแต่ละวัน ขณะเดียวกันก็รอฟังเสียงตอบโต้ จากผู้นำรัฐบาล ตลอดเวลา แต่ก็ผิดหวังเสมอ ขณะที่กัมพูชามีผู้บริจาคเงินเข้ากองทุนชาตินิยม แต่ผู้นำรัฐบาล กลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ คงคล้ายเรื่องเล่ากันขำๆที่ว่ารัฐบาลกัมพูชาปลุกใจคนเขมรให้รักชาติ แต่ที่เมืองไทย ประชาชนคนไทยกลับต้องออกมาบอกให้รัฐบาลรักชาติ และยังมีคนนอกรัฐบาล เหยียบย่ำซ้ำเติมด้วยการบอกว่า ให้เปลี่ยนการยิงกันเป็นการเตะตะกร้อกัน เพราะพื้นที่ตรงนั้น มีแต่ป่า ทำเป็น No Man’s Land ดีกว่า ซึ่งแน่นอน ผู้นำรัฐบาลคงไม่รู้ว่า แผ่นดินไทยตรงนั้น บรรพบุรุษของเราเอาเลือดทาแผ่นดินไว้ และผู้ใหญ่ในรัฐบาล ก็ยังขานรับคำว่า No Man’s Land อีกด้วย หลายเรื่องที่รัฐบาลควรทำหรือต้องทำแต่ไม่ทำ บางครั้งผู้นำรัฐบาลก็พูดเหมือนเข้าข้างกัมพูชา จนมีข้อสงสัยเคลือบแคลงจากประชาชนว่าเรามีผู้นำรัฐบาลเป็นคนเขมรหรืออย่างไร แล้วจะแก้ปัญหาหรือทำอย่างไรต่อไป“
พล.อ.สวัสดิ์ ระบุต่อว่า หลังจากที่วุฒิสภาได้ออกแถลงการณ์ เรียกร้องไปยังรัฐบาลเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อให้รัฐบาลแถลงข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว และร่วมแก้ไขปัญหา ทั้งหมด ตั้งแต่เมื่อวันที่9มิ.ย.ที่ผ่านมา แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีคำตอบจากรัฐบาล หรือสัญญาณของความร่วมมือกับวุฒิสภา เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้น กมธ.ฯ จึงต้องอาศัยตามรัฐธรรมนูญ กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเข้าชื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ เพื่อเปิดโอกาสให้สว. เสนอแนวคิด และแนวทางในการคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้รัฐบาลได้นำไปเป็นข้อพิจารณาประกอบการตัดสินใจโดยเร็วต่อไป การที่ผู้นำรัฐบาลเพิกเฉยไม่โต้ตอบฝ่ายกัมพูชา และไม่กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน ทำให้การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา ครังที่ 6 ที่ผ่านมา ล้มเหลว ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ กับฝ่ายไทย และฝ่ายกัมพูชายังฉวยโอกาส ออกแถลงการณ์บิดเบือนข้อเท็จจริงที่จะนำเรื่องพื้นที่พิพาท 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก และการใช้แผนที่ 1:200,000 เพื่อกำหนดเขตแดต นอกจากนี้ ยังฉกฉวยโอกาส เช่น การเรียกร้องนานาชาติกดดันให้ไทย ยอมรับอำนาจของศาลโลก การแถลงอย่างแข็งกร้าวไม่ยอมรับการประชุมทวิภาคี การกีดกัน สินค้า และภาพยนตร์ไทย การเรียกแรงงานกัมพูชากลับประเทศ โดยปลุกระดมว่าอาจถูกฝ่าย ไทยกลั่นแกล้งท้าร้าย ตลอดจนความอ่อนด้อยในเกมการเมืองระหว่างประเทศของผู้นำ รัฐบาลไทย ความล่าช้าของนโยบายที่ท้าให้การปฏิบัติของผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องไม่ทันเวลา ล้วนเป็นสิ่งที่ท้าให้ประชาชนสิ้นศรัทธาในผู้นำรัฐบาล
“การที่นายกรัฐมนตรี ขาดความน่าเชื่อถือ ส่งผลกระทบในทางลบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะปัญหาดังกล่าวซึ่งกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย หากปล่อยปละละเลยให้นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้ตามอำเภอใจ อาจทำให้อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยถูกรุกล้าและยึดครอง จึงเห็นสมควรให้วุฒิสภาเปิดอภิปรายทั่วไปฯดังกล่าวเร็วที่สุด โดยกมธ.ฯจะมีหนังสือกราบเรียนประธานวุฒิสภาต่อไป” พล.อ.สวัสดิ์ ระบุในแถลงการณ์
พล.อ.สวัสดิ์ ยังกล่าวทิ้งท้ายแถลงการณ์ด้วยว่า “แผ่นดินนี้พ่อกูอยู่ปู่กูตาย กูสุดอายหากเสียทีไพรีครอง”
ด้านพล.อ.เกรียงไกร กล่าวถึงการขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อหารือถึงกรณีข้อพิพาทชายแดนไทยกัมพูชาที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลปฏิเสธโดยระบุว่าไม่มีคุวามจำเป็น แต่เราเห็นว่าหากรัฐบาลได้รับฟังสมาชิกรัฐสภา จะทำให้รัฐบาลได้ข้อมูลอย่างรอบด้าน และเก็บเกี่ยวข้องมูลเหล่านั้นไปแสวงหาข้อตกลงใจและกำหนดแนวทางในการแก้ไขข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และสามารถออกเป็นนโยบายให้หน่วยปฏิบัตินำไปปฏิบัติได้อย่างชัดเจน โดยรัฐบาลจะมีหลังพิงคือเสียงของสมาชิกทั้ง 2 สภา หากเราเปิดอภิปรายของรัฐสภา
พล.อ.เกรียงไกร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทไม่ใช่เฉพาะกรณีที่ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี แต่ยังมีแนวพรมแดนที่ตนมองว่าต้องใช้การพูดคุยแบบทวิภาคี ทั้งอาร์บีซี เจบีซี และจีบีซี ซึ่งการขอเปิดอภิปรายทั่วไปของวุฒิสภาต้องใช้เสียง 1 ใน 3 ดำเนินการโดยครม.ต้องส่งรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุม ไม่สามารถปฏิเสธได้ ทั้งนี้ในกระบวนการอาจจะต้องขอให้ ครม.ตกลงเรื่องวันและเวลาเท่านั้น ซึ่งย้ำว่ามีความจำเป็นเพื่อให้สมาชิวุฒิสภาได้มีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาและให้รัฐบาลสามารถนำไปกำหนดเป็นนโยบายการปฏิบัติหน้าที่หน้าแนวซึ่งไม่เฉพาะทหาร แต่ยังพลเรือนและฝ่ายปกครองด้วย ซึ่งจำเป็นจะต้องกำหนดให้มีความเป็นเอกภาพ
เมื่อถามว่าในกรณีเรื่องอัตราส่วนแผนที่ที่มีปัญหาจำเป็นต้องยกเลิกเอ็มโอยู 43 หรือไม่ พล.อ.เกรียงไกร กล่าวว่า ในรายละเอียดของเอ็มโอยูไม่ได้ให้การรองรับแผ่นดินที่ 1:200,000 เพราะแผนที่ดังกล่าวมาทีหลัง ดังนั้นในสภาพการณ์ไม่ได้ทำให้เกิดการเสียเปรียบ เพราะไทยยึดแผนที่ 1:50,000
เมื่อถามต่อว่าผู้นำไทยที่แก้ปัญหาในเรื่องนี้ใช้หัวใจกัมพูชาหรือไม่ พล.อ.เกรียงไกร กล่าวทันทีว่า ประชาชนเป็นคนพูดในสื่อโซเชียลต่างๆ ประชาชนเป็นคนกล่าวหา ซึ่งตนมองว่าหากรัฐบาลมาชี้แจงต่อที่ประชุมวุฒิสภา จะสามารถแก้ข้อกล่าวหาดังกล่าวและปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่ประชาชนพูดนั้นไม่จริง