xs
xsm
sm
md
lg

เขมรแถลงแล้ว! ไม่รับแผนที่ 1:50,000 เด็ดขาด อ้างไทยเขียนขึ้นฝ่ายเดียว ต้อง 1:200,000 เท่านั้น กต.ไทยโลกสวย บอกประชุมราบรื่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



กัมพูชาแถลงแล้ว ปฏิเสธแผนที่ 1 ต่อ 50,000 อย่างเด็ดขาด อ้างไทยเขียนขึ้นฝ่ายเดียว ยึดมั่นแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตาม MOU43 เท่านั้น อ้างยินดีร่วมมือกับไทยด้วยกลไกทวิภาคี ยกเว้น 4 จุดที่เอาขึ้นศาลโลก ด้านเพจกระทรวงการต่างประเทศของไทย โพสต์ข้อความระบุการหารือเป็นไปอย่างราบรื่น

วันนี้(15 มิ.ย.) เมื่อเวลา 16.10 น. เฟซบุ๊กเพจของเว็บไซต์ข่าว Khmer Times รายงานภายหลังเสร็จการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) ที่กรุงพนมเปญ ว่า ฝ่ายกัมพูชาแสดงจุดยืนปฏิเสธอย่างหนักแน่นที่จะรับรองแผนที่ที่ฝ่ายไทยร่างขึ้นโดยฝ่ายเดียวและนำใช้อ้างอิงอันเป็นที่มาหลักของปัญหาข้อพิพาทชายแดนที่เรื้อรังมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต

ทั้งนี้ แผนที่ที่กัมพูชาอ้างว่าฝ่ายไทยร่างขึ้นโดยฝ่ายเดียวและนำไปสู่ปัญหาข้อพิพาทเขตแดนไม่สิ้นสุดนั้นคือแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000 ซึ่งมีความละเอียดแม่นยำมากกว่า แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่กัมพูชายึดถือ

Khmer Times อ้างตามเอกสารข่าวเผยแพร่จากสำนักเลขาธิการกิจการชายแดนเกี่ยวกับการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) ที่จัดขึ้นระหว่างฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทย ฝ่ายกัมพูชานำโดยนายฬำ เจีย รัฐมนตรีประจำสำนักกิจการชายแดนและประธาน JBC ฝ่ายกัมพูชา และนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศของไทย และประธาน JBC ฝ่ายไทย

ตามข่าวประชาสัมพันธ์การประชุม นายฬำ ฝ่ายกัมพูชา กล่าวว่า นอกเหนือจาก 4 พื้นที่ที่อยู่ระหว่างข้อพิพาทกับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) แล้ว ฝ่ายกัมพูชายังคงยืนหยัดในจุดยืนและความปรารถนาดีในการให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทยในการส่งเสริมการวัดเส้นเขตแดนและการกำหนดแนวเขตแดนโดยใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย (JBC)

นายฬำ ได้ย้ำถึงนโยบายของรัฐบาลกัมพูชาในการยึดมั่นในสันติภาพและแสวงหาพรมแดนแห่งสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือที่ดีกับฝ่ายไทย โดยยึดตามเอกสารกฎหมายและแผนที่ที่ตกลงกันตามที่ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2000 ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ตามเจตนารมณ์ของอนุสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ค.ศ.1907 เพื่อดำเนินการรังวัดและปักปันเขตแดน

ในแง่นี้ ฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธอย่างเด็ดขาดที่จะยอมรับแผนที่ที่ฝ่ายไทยได้ร่างขึ้นโดยฝ่ายเดียวและใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงซึ่งเป็นแหล่งที่มาหลักของข้อพิพาทด้านพรมแดนเรื้อรังในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย (JBC) จัดขึ้นในบรรยากาศที่เป็นมิตรและเข้าใจกัน โดยมีจิตวิญญาณของการสนทนาที่เปิดกว้างและเป็นบวก การประชุมสิ้นสุดลงด้วยการหารืออย่างเต็มรูปแบบเกี่ยวกับวาระการประชุมที่ตกลงกันไว้และการลงนามบันทึกการประชุมอย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2568
ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะพบกันอีกครั้งในเดือนกันยายน 2568


ด้านเพจเฟซบุ๊ก “กระทรวงการต่างประเทศ Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom” โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 15.05 น.ว่า เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 เอกอัครราชทูตประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทย และนายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนและหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา ประธานร่วมฝ่ายกัมพูชา เป็นประธานร่วมในพิธีปิดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 (JBC) และลงนามบันทึกการประชุมร่วมกัน ที่กรุงพนมเปญ

การหารือเป็นไปอย่างราบรื่นและฉันมิตร ทั้งสองฝ่ายกล่าวขอบคุณที่การประชุมสำเร็จลุล่วงด้วยดี โดยเน้นย้ำความสำคัญและประสิทธิภาพของ JBC ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีหลักในการเจรจาเขตแดนระหว่างสองประเทศ การประชุมครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงความคืบหน้าในการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งมีความยาวทั้งหมดประมาณ 800 กิโลเมตร และมีส่วนช่วยลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีภารกิจที่ต้องหารือและดำเนินการร่วมกันต่อไป โดยฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JBC สมัยพิเศษครั้งต่อไปในเดือนกันยายนนี้

ปัจจุบัน ไทยกับกัมพูชามีกลไกความร่วมมือในประเด็นชายแดนร่วมกัน 3 ระดับหลัก ได้แก่ (1) JBC ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีที่สำคัญในการหารือกันทางเทคนิคและข้อกฎหมายระหว่างประเทศ (2) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีระดับสูงด้านความมั่นคง มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทยกับกัมพูชาเป็นประธานร่วม เพื่อหารือในการกำหนดแนวทางและมาตรการที่เหมาะสมเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือและการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศ และ (3) คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ซึ่งเป็นกลไกระดับทวิภาคีของฝ่ายทหาร เพื่อหารือในระดับพื้นที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการ การพัฒนา ตลอดจนการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นบริเวณชายแดนร่วมกัน โดยประธานร่วมเป็นระดับแม่ทัพภาคหรือตำแหน่งที่เทียบเท่า






กำลังโหลดความคิดเห็น