xs
xsm
sm
md
lg

จาก No Man's Land ถึง “No แม้ว Land”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



 ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ของ “สองพ่อลูกตระกูลชิน” บนถนนสายการเมืองนั้น ตีบตันลงทุกที โดยเฉพาะหลังเกิดวิกฤตสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ฉายให้เห็นถึงภาพสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของ “ฮุนชินคอนเนกชัน” และถูกตั้งคำถามว่า เป็นคอนเนกชันที่เหนือผลประโยชน์ของประเทศชาติ

ดังที่ “ฝ่ายค้านกัมพูชา” ซึ่งนำโดย “สม รังสี” กำลังเปิดเกมรุกเข้าใส่อย่างหนัก ด้วยการกล่าวหาว่า “ตระกูลฮุน” ไม่กล้าที่จะแตกหักกับ “ตระกูลชิน” ด้วยมีผลประโยชน์และความสัมพันธ์เชื่อมกันเอาไว้แนบแน่น

“พวกเขารู้จุดอ่อนของฮุนเซน และฮุน มาเนต ที่กลัวจะสูญเสียอำนาจ แค่เรื่องสังหาร “ลิม กิมยา” ไทยก็ใช้ขู่ตระกูลฮุนได้ หากประเทศไทยตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตในปอยเปต และพื้นที่บ่อนการพนันอื่นๆ ตระกูลฮุนคงสูญเสียรายได้จากอาชญากรรมออนไลน์ และนี่คือเหตุผลที่ตระกูลฮุนกลัวที่จะเผชิญหน้ากับไทยในข้อพิพาทชายแดน

“และถ้าเราพูดถึงอาวุธ กองทัพแห่งชาติกัมพูชาก็ไม่มีอาวุธสมัยใหม่เหมือนกับบอดี้การ์ดฮุนเซน กองทัพแห่งชาติไม่มีแม้แต่อาหารกิน อุปกรณ์ความปลอดภัยไม่เพียงพอ ชีวิตของนายซวน โรน และชีวิตของทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องชายแดน ถูกใช้เป็นเกมการเมืองเพื่อปกป้องอํานาจของตระกูลฮุน และปกป้องอํานาจของตระกูลทักษิณที่เป็นพี่น้องบุญธรรม ให้รอดพ้นจากการถูกทหารไทยทำรัฐประหาร (มึงช่วยกู กูช่วยมึง)”สม รังสีแฉ

ไม่นับรวมเรื่อง “คดีป่วยทิพย์” ของ “ทักษิณ ชินวัตร”ที่ส่อไปในทาง “ร้าย” มากกว่า “ดี” เมื่อ “แพทยสภา” ยืนยันมติเดิมด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นว่า แพทย์ 3 รายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความผิด โดย 1 รายถูกว่ากล่าวตักเตือน 1 ราย และส่วนอีก 2 รายถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ หลังจากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แห่งพรรคเพื่อไทย ตัดสินใจ “วีโต้”

มีการวิเคราะห์กันว่า การที่แพทยสภามีมติยืนยันดังกล่าวจะส่งผลต่อการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และมีโอกาสที่ “ทักษิณ” จะต้องกลับไปรับโทษด้วยการเข้าไปอยู่ในเรือนจำใหม่ค่อนข้างสูง

ขณะที่ตัวลูกสาวคือ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี นับวันก็ยิ่ง “สอบตก” ในสายตาประชาชนด้วยมิได้ทำหน้าที่อย่างที่ควรจะเป็นในแทบจะทุกเรื่อง ส่งผลทำให้คะแนนนิยมของตัวเธอและรัฐบาลลดลงฮวบๆ โดยเฉพาะเมื่อเกิดวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา

คะแนนนิยมของแพทองธารลดลงหนักเข้าไปอีก หลังเธอยกคณะไปปฏิบัติภารกิจติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา พร้อมแสดงปฏิกิริยาที่แสดงให้เห็นถึงมิตรไมตรีที่มีต่อประเทศกัมพูชา ด้วยการหยิบประเด็นเรื่อง “การปิดเปิดด่านชายแดน” มานำสอบถามในเวทีประชุมว่า ทำไมไทยและกัมพูชาถึงกำหนดเวลาเปิดปิดไม่ตรงกัน พร้อมกับเอ่ยปากว่า เปิดปิดให้ตรงกันได้หรือไม่ และมอบหมายให้แม่ทัพภาคที่ 2 หารือกับกัมพูชาเรื่องนี้เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าขายผ่านชายแดน

ขณะที่ “บิ๊กกุ้ง- พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ชี้แจงว่า การเปิดปิดเวลาไม่ตรงกันอาจมีนัยบางอย่าง เหมือนมีลักษณะของการเมืองนิดหน่อย เพื่อชิงความได้เปรียบ แต่หลังจากนี้ฝ่ายความมั่นคง ผู้ว่าฯ ในพื้นที่จะมีการหารือกัน ซึ่ง น.ส.แพทองธาร นายกฯ ได้กล่าวย้ำว่า ถ้าเรายึดถือผลประโยชน์ของประชาชน เปิด-ปิดตรงกัน จะได้ค้าขายได้เท่ากัน

ทันทีที่ปรากฏภาพและเสียงของ “นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์” ต่อสาธารณชน ความร้อนแรงทวีความดุเดือด ด้วยมองว่า เธอไม่รู้ประสีประสาในยุทธศาสตร์เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบก่อนที่จะการประชุม JBC จะเริ่มขึ้น

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้งจากทั่วทุกสารทิศ เพราะถ้าหากเธอติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาด้วยความตั้งใจ ก็จะพบว่าจริงว่า ไทยเป็นฝ่ายกำหนดเวลาในการเปิดปิดด่านชายแดนก่อน หลังจากนั้น ฝ่ายกัมพูชาจึงกำหนดเวลาทีหลัง

แต่นายกฯ แพทองธารกลับมาถามทหารไทยว่า ทำไมไม่เปิดปิดด่านให้ตรงกัน

แต่ที่ทิ่มเปรี้ยงแบบเจ็บๆ เห็นทีจะหนีไม่พ้นความเห็นของ “พล.ท.กนก เนตระคะเวสนะ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 และอดีตผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี”ที่เข้ามาโพสต์แสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊กของ น.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหารว่า “ทุเรศ ไม่ใช่เรื่องของไทยที่ต้องทำ อำนาจมอบให้กองทัพแล้วเสือก พวกทาสเขมร”




นอกจากเรื่องดังกล่าวแล้ว การเจรจาเรื่องเขตแดนของรัฐบาลแพทองธารก็เต็มไปด้วยช่องว่างช่องโหว่และมีข้อท้วงติงจาภาคประชาชนมากมาย โดยเฉพาะฝ่ายกัมพูชาที่ “สองพ่อลูกตระกูลฮุน มีความชัดเจนว่า จะไม่จบลงที่ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมหรือ JBC พร้อมยืนยันว่า ต้องการนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ “ศาลโลก”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 เฟซบุ๊ก Samdech Hun Sen of Cambodia มีการโพสต์ภาพเอกสารมติคณะรัฐมนตรีรัฐบาลกัมพูชาในการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำเอกสารยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในคดีพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย

ไม่เพียงแค่นั้น “ฮุน เซน”และ “บุน รานี” ผู้เป็นภรรยา ยังเปิดปฏิบัติการทางจิตวิทยาเข้าใส่ไทยอย่างต่อเนื่องด้วยการบริจาคเงิน 300 ล้านเรียลประเดิมให้กับกองทุน CTN Foundation for Border เพื่อสนับสนุนการต่อสู้เพื่อปกป้องชายแดนกัมพูชาทุกรูปแบบ ทั้งเพื่อช่วยเหลือเเเดูแลและเสริมสร้างกำลังทหารประจำการบริเวณชายแดนให้พร้อมรบตลอดเวลา และค่าใช้จ่ายในการนำเรื่องชายแดนกัมพูชาไทยไปสู่ศาล ICJ

กองทุน CTN ก่อตั้งโดยออกญากิธเมง ประธานรอยัลกรุ๊ป กลุ่มทุนใหญ่กัมพูชา ตามคำขอของสมเด็จฮุนเซน

เงิน 300 ล้านเรียลของ “ฮุน เซน” นั้น ถ้าคิดเป็นเงินไทยก็แค่ในราว 3 ล้านบาทเท่านั้น ไม่ถึง 3 ล้านบาท เป็นเงินไม่มากเลยสำหรับฮุน เซนที่มีคฤหาสน์หลังใหญ่โตโอฬาร เอาแค่ นาฬิกาข้อมือหรูที่สวมออกงานต่าง ๆ หากเป็นของแท้มูลค่ารวมก็ประมาณ 1,500 ล้านบาทแล้ว

ทว่า นี่ไม่ใช่เรื่องของจำนวนเงิน แต่เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองเพื่อหล่อเลี้ยงและตอบสนองกระแสชาตินิยมกัมพูชา

ที่หนักไปกว่านั้นคือ มีการท้วงติงจากภาคประชาชนถึงความเหมาะสมของตัว “ประธาน JBC ฝ่ายไทย” ซึ่งก็คือ “ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย” อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ที่ถูกตั้งข้อกังขาเรื่องความเหมาะสมและความสัมพันธ์ของเขากับนายภูมิธรรม ซึ่งเป็น “เพื่อนรัก” กัน ทั้งๆ ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว

วีระ สมความคิด ซึ่งเคยถูกจับในดินแดนไทยที่บ้านหนองจาน และต้องติดคุกเขมร ชี้ชัดไปว่า เคยบีบบังคับให้ตนยอมรับผิดว่าบุกรุกดินแดนเขมร แถมด่าว่าเป็นตัวปัญหาทำให้กลับมาฉลองปีใหม่ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้

ทว่า ก็ไม่ได้มีเสียงตอบรับจากรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตรแต่อย่างใด

สำหรับการนำเรื่องชายแดนเข้าสู่ศาลโลกนั้น แน่นอน ถ้ามองในมุมของ “พ่อลูกตระกูลฮุน” ก็อาจเข้าใจในสถานการณ์ที่พวกเขาจำต้องเดินหน้าให้ “สุดซอย” โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ศาลโลก ไม่เช่นนั้น จะเสียคะแนนนิยมทางการเมือง และกระทบกับรัฐบาลฮุน มาเนตเป็นอย่างมาก

กระนั้นก็ดี การใช้ศาลโลกก็ไม่ใช่สิ่งที่อาจมองข้ามได้ เพราะหากพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์ก็จะพบว่า กัมพูชาใช้เกมดังกล่าวมาโดยตลอดเพื่อครอบครองดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทย และทำสำเร็จมาแล้วจากกรณี “ปราสาทพระวิหาร” อย่างน้อยก็สร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของชาวโลกว่า กัมพูชาไม่ได้กระหายความรุนแรง

ถ้าหากติดตามปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชามาอย่างต่อเนื่อง ก็จะพบว่า มูลเหตุหลักของเรื่องทั้งหลายทั้งปวงเป็นผลพวงมาจากเรื่อง “แผนที่” เพราะกัมพูชากับไทยใช้แผนที่กันคนละฉบับ

กล่าวคือ กัมพูชาใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ส่งผลทำให้ดินแดนของกัมพูชากินพื้นที่เข้ามาในอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย ขณะที่ไทยใช้แผนที่ 1 ต่อ 50,000

ตัวอย่างเชิงประจักษ์ที่เห็นได้ชัดก็คือ กินเข้ามาถึง “พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย” อันเป็นมูลเหตุสำคัญที่ “สองพ่อลูกตระกูลฮุน” ซึ่งครองอำนาจในกัมพูชากล่าวหาว่าไทยรุกล้ำดินแดนของพวกเขา

ขณะที่เมื่อย้อนกลับไปพิจารณา MOU 2543 ที่ยังคงใช้ต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้เป็นเวลา 25 ปี ก็จะพบว่า “ปัญหาสำคัญ” คือไม่มีรัฐบาลไหนให้ความสนใจที่จะ “ยกเลิก” อย่างเป็นจริงเป็นจัง รวมถึง MOU 2544 แม้จะเห็นแล้วว่าจะนำมาซึ่งวิกฤตครั้งใหญ่ในไม่ช้านี้ ทั้งๆ ที่รัฐบาลไทยรับรู้มาโดยตลอดว่า กัมพูชาพยายามใช้ MOU 2543 เพื่อประโยชน์ในการปักปันเขตแดนใหม่

“มล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์” นักวิชาการอิสระที่ติดตามปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชามาอย่างยาวนาน แสดงความคิดเห็นเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า การทำ MOU 2543 และการอ้างแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ว่าเป็นแผนที่กรรมการปักปันผสมนั้นคือปัญหา ที่สำคัญคือ MOU 2543 ฝ่ายไทยไปรับรองแผนที่มาตราดังกล่าวของกัมพูชาจริง ทำให้เกิดการขัดกันในระหว่าง 2 แผนที่เมื่อนำไปใช้กับปัญหาเรื่องเขตแดน

ดังนั้น จึงเห็นว่าที่ผ่านมามีการเรียกพื้นที่พิพาทบ้าง พื้นที่ทับซ้อนบ้าง no man's land บ้างหรือแม้แต่พื้นที่ที่ยังไม่ได้ปักปัน ซึ่งขัดต่อความเป็นจริงซึ่งมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และการใช้พื้นที่จริงในบริเวณนั้น

ทั้งนี้ หลายคนวิเคราะห์กันว่า การที่กัมพูชายึดมั่นถือมั่นอยู่กับศาลโลกนั้น น่าจะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างคะแนนนิยมให้กับ “พ่อลูกตระกูลฮุน” ด้วยที่ผ่านมา พวกเขาใช้ช่องทางนี้และประสบความสำเร็จมาโดยตลอด

ที่สำคัญคือ แม้จะมี MOU 2543 ก็ไม่ได้หมายความว่า จะแก้ปัญหาชายแดนของทั้งสองประเทศอะไรได้ด้วยความที่ไทยและกัมพูชายึดแผนที่กันคนละฉบับดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยเฉพาะฝ่ายกัมพูชาที่กระทำการละเมิด MOU2543 จำนวน 651 ครั้ง

ยกตัวอย่างเช่น การปรับปรุงเส้นทาง การเทคอนกรีต ในพื้นที่ช่องอานม้า ตรวจพบเมื่อ 19 มีนาคม 2568 การปรับปรุงป้อมปืน การขุดหลุม บุคคล ในพื้นที่ช่องอานม้า ตรวจพบเมื่อ 14 เมษายน 2568 การปรับปรุงเส้นทางและคูติดต่อบริเวณพื้นที่ช่องบก และบริเวณ เนิน 745 ตรวจพบเมื่อ 13 พฤษภาคม 2568 เป็นต้น

แปลไทยเป็นไทยคือ ฝ่ายไทยยึดมั่น MOU 2543 เสมือนเป็นคัมภีร์วิเศษทั้งๆ ที่ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับประเทศชาติ แถมยังไม่ยอมยกเลิก ส่วนฝ่ายกัมพูชาก็อาศัย MOU 2543 ที่ยึดโยงอยู่กับแผนที่มาตรา 1 ต่อ 200,000 ที่ฝ่ายไทยยอมรับเป็นเครื่องมือในการรุกคืบเข้ามาในดินแดนมาโดยตลอดกระทั่งประกาศต่อชาวโลกออกมาว่า “พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย” เป็นดินแดนของกัมพูชา พร้อมทั้งเดินหน้านำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของ “ศาลโลก” อย่างที่เห็น

แถมยังตลบตะแลงด้วยว่า ตลอดระยะเวลา 25 ปีนับตั้งแต่ MOU 2543 มีผลบังคับใช้ ไม่ได้มีความคืบหน้าในการปักปันเขตแดนเลย

นี่เป็นอีกหมากเกมหนึ่งในการดำเนินการทางยุทธศาสตร์ของกัมพูชาที่ทำทีเป็นไม่เห็นว่า MOU 2543 ไม่มีประโยชน์ ทั้งๆ ที่ที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชามีความได้เปรียบเต็มที่


สรุปปัญหาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของฝ่ายไทยก็คือ ก่อนที่จะมี MOU 2543 ฝ่ายไทยเองได้เคยปฏิเสธต่อศาลโลกไปแล้วว่า ไม่ยอมรับว่าเป็นแผนที่ที่มีผลผูกพันกับไทย แต่เมื่อมีการบันทึกความเข้าใจร่วมกันดังกล่าวตาม MOU 2543 กลับยอมให้ระบุเป็นหนึ่งในแผนที่ที่จะใช้ในการเจรจาปักปันเขตแดนทางบกต่อไปได้

นัยสำคัญอยู่ตรงที่รัฐบาลไทยดันยอมรับในสิ่งที่เคยประกาศว่าไม่ยอมรับ และไม่พยายามที่จะยกเลิกอย่างเป็นจริงเป็นจังเสียที

ทั้งนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล, จตุพร พรหมพันธุ์, วีระ สมความคิด และ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พร้อมด้วยเครือข่ายประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดิน ได้รวมตัวเข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้อง รักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติอย่างจริงจัง

สนธิเปิดเผยว่า การถอยของฝ่ายกัมพูชาเป็นเพียงการถอยทางยุทธวิธีที่ยังไม่สามารถไว้ใจได้ เนื่องจากกัมพูชายังคงประกาศว่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การตัดสินของศาลโลก และยังยึดถือแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ที่จัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งคลาดเคลื่อนจากแนวสันปันน้ำตามธรรมชาติถึง 200 เมตร ด้วยเหตุผลดังกล่าว กลุ่มประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินจึงได้ยื่นหนังสือเรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ตอบโต้ทางการกัมพูชา โดยเสนอ 6 มาตรการสำคัญ ดังนี้

1. รัฐบาลไทยต้องประกาศย้ำไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกและไม่ยอมรับการที่กัมพูชาจะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของศาล โดยต้องใช้กลไกการเจรจาในรูปแบบทวิภาคีผ่านคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชา (JBC) เท่านั้น

2. รัฐบาลไทยต้องประท้วงอย่างเป็นทางการต่อประชาคมโลกว่าปราสาทตาเมือนธม, ตาเมือนโต๊ด, ตาควาย และศาลาตรีมุข เป็นดินแดนของไทย

3. สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 เพื่อยกเลิกแผนที่ที่จัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว

4. สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศยกเลิก MOU ปี 2544 เพื่อยกเลิกเส้นไหล่ทวีปที่รุกล้ำน่านน้ำไทย

4. ในการเจรจา JBC ควรเสนอให้ลดเวลาในการเปิด-ปิดด่านไทย-กัมพูชาต่อไป จนกว่ากัมพูชาจะปราบปรามการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ตามแนวชายแดน

5. หากสถานการณ์ไทย-กัมพูชาเลวร้ายลง กองทัพไทยควรสามารถประกาศกฎอัยการศึกเพื่อปกป้องอธิปไตยได้ทันที

...ถึงตรงนี้ ประชาชคนไทยผู้รักชาติรักแผ่นทั้งหลาย คงต้องติดตามกันต่อไปว่า สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาจะขับเคลื่อนไปในทิศทางใด โดยประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาก็คือ อย่าปล่อยให้ “ฮุนชินคอนเนกชัน” มีอิทธิพลต่อการปกป้องอธิปไตยเหนือดินแดน

เพราะราชอาณาจักรไทยนั้น ไม่มี No Man's Land ดังที่ทักษิณหยิบมาพูดถึงสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา แต่อาจมี “No แม้ว Land” ยิ่งในยามที่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ตกอยู่ในสภารัฐบาลล้มเหลว ประชาชนคนไทยอาจจะได้เห็นการใช้ “ช่องทางธรรมชาติ” อีกครั้งก็เป็นได้...ใครจะรู้.
กำลังโหลดความคิดเห็น