สถานการณ์การเมืองไทยร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เห็นถึง “ฉากทัศน์” ที่น่าสนใจ และถือเป็น “สมการการเมือง” ที่น่าจับตาและวิเคราะห์ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและจุดหมายปลายทางของเรื่องดังกล่าว
เรื่องที่ถือเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ที่สุดในเวลานี้ มีอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน
เรื่องแรกก็คือการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีตัวจริงมีคำสั่งออกมาพร้อมกับเป้าหมายคือยึด “กระทรวงมหาดไทย” ที่อยู่ในโควตาของ “ค่ายสีน้ำเงิน-พรรคภูมิใจไทย” กลับมาอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทย เพื่อรองรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ไม่เกิน 1 ปีตามกระแสข่าวที่ออกมา และ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีตามกฎหมาย ก็ออกมายอมรับว่า เตรียมปรับครม.จริง
ทว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ “นายใหญ่คนเสื้อแดง” จะชี้นิ้วสั่งได้ ด้วยค่ายสีน้ำเงินของ “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” และ “ครูใหญ่เน-เนวิน ชิดชอบ” ไม่ยอมศิโรราบ
ที่สำคัญคือถือเป็นโจทย์หินว่าจะเอากระทรวงใดไปแลก พรรคภูมิใจไทยถึงจะยอมเสียกระทรวงมหาดไทยให้ อย่าง “กระทรวงคมนาคม” ที่น่าจะตรงใจที่สุด ก็ถือเป็นกระทรวงเงินถุงเงินถังที่ไม่น่าจะปล่อยไปง่ายๆ หรือจะเป็น “กระทรวงสาธารณสุข” ทักษิณเองก็ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องเอาไว้ใช้งานกับคดีป่วยทิพย์ ชั้น 14 เว้นเสียแต่ว่า คดีจะเป็นที่ยุติแล้ว
อย่างไรก็ดี ถ้าพรรคเพื่อไทยต้องการจะยึด “กระทรวงมหาดไทย” จริงๆ ทางเดียวคือ ต้องไล่พรรคภูมิใจไทยไปเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในสถานการณ์การเมือง ณ ขณะนี้ ดังนั้น จึงอาจจะต้องทนอยู่อย่างนี้กันไปก่อน เพียงแต่อาจจะมีปรับครม.เป็นการภายในของแต่ละพรรคแทนเสียมากกว่า
เรื่องที่สอง เป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” และน่าจะลุกลามบานปลายไปถึงเรื่องการปรับรัฐมนตรีของพรรค ด้วยมีกระแสว่า อาจมีการเปลี่ยนแปลงเก้าอี้ของ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” และ “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์”
ปี่กลองทางการเมืองโหมกระพือขึ้นมาจากการที่ “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดปฏิบัติการต่อเนื่องถึง 2 EP ด้วยกัน โดย EP 1 เปิดฉากการแสดงเมื่อปรากฏภาพสส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติไปดินเนอร์ร่วมกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง พร้อมปล่อยภาพออกมาและประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่า ให้ความสนใจที่จะไปร่วมงานกับพรรคโอกาสใหม่
EP 1 ยังไม่ทันได้เคลียร์ให้สะเด็ดน้ำ “เสี่ยเฮ้ง” ก็เปิดปฏิบัติการ EP 2 ต่อเนื่องเมื่อเขารวมรวบรายชื่อ 21 สส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมทำจดหมายถึง “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ปรับ “หัวหน้าพี-นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” และ “เลขาฯ ขิง-เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” โดยกล่าวหาว่า “ขาดความสามารถ” และ “ผลงานไม่ถึงใจ”
คราวนี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังหนักกว่าเก่า เพราะกระแสข่าวดำเนินไปในทิศทางว่า เป็นปฏิบัติการเพื่อยึดพรรครวมไทยสร้างชาติแทนการย้ายไปอยู่พรรคโอกาสใหม่ ด้วยมีกระแสข่าวว่า “ท่อน้ำเลี้ยง” ที่เคยวาดฝันไว้ “ไม่เป็นไปตามนัด”
อย่างไรก็ดี ปฏิบัติการ EP 2 ก็มีความแปร่งปร่าให้รับรู้ถึงความผิดปกติให้เห็น โดยเฉพาะการที่ “กลุ่ม สส.ชุมพร” นำโดยนายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส.ชุมพร เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ ออกมาโวยวายว่า ไม่ได้ร่วมลงชื่อไล่หัวหน้าพีกับเลขาฯ ขิง
พร้อมอธิบายขยายว่า ในเวลาต่อมาว่า ที่ผ่านมาได้ทำกิจกรรมกับทางพรรคหลายเรื่อง ซึ่งทุกครั้งก็จะมีการเซ็นชื่อทั้งหมด และได้มีการเซ็นชื่อหลายเรื่องด้วยกัน อีกทั้งยังมีการนำชื่อไปใช้ในหลายกิจกรรมของพรรคด้วย
ตรงนี้ สอดคล้องกับอีกกระแสข่าวที่ยืนยัยว่า เอกสารเซ็นชื่อที่หลุดออกมานั้น เป็นเอกสารจริง แต่ทำเพื่อใช้ในอีกเรื่องหนึ่ง ทว่า ถูกใครบางคนหยิบฉวยเอามาใช้ประโยชน์
ขณะที่ “ลูกขิง-เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” ก็เปิดฉากสวนกลับด้วยความร้อนตัวและร้อนรน โดยตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ และยังไม่ทราบว่ามีการยื่นเอกสารให้กับนายกรัฐมนตรีจริงหรือไม่ เพราะมีข้อพิรุธหลังจากที่มีเอกสารออกมาแล้ว มีสส.หลายคนออกมาปฏิเสธ เช่น สส.ชุมพร 3 คน เป็นต้น
นอกจากนั้นยังเห็นสิ่งผิดปกติของลายเซ็น เพราะเท่าที่ดูหลายลายเซ็นไม่ตรงกับเอกสารที่ใช้ในราชการ บางคนเซ็นแค่ตัวอักษรนำ ซึ่งผิดวิสัยเอกสารสำคัญ เช่น เขียนตัวพีตัวเดียว
นายเอกนัฏยังย้อนกลับไปกล่าวถึงปฏิบัติการ EP แรกของ “เสี่ยเฮ้ง” ด้วยว่า เท่าที่ได้มีการพูดคุยกับสส.ทีละคนตั้งแต่มีภาพปรากฏไปรวมตัวกัน และมีข่าวจะย้ายพรรค ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง และวงที่คุยไม่ใช่เรื่องการย้ายพรรค เหตุการณ์ครั้งนี้ที่มีรายชื่อก็เช่นเดียวกัน
“ผมยังไม่รู้เลยว่าคนเขียนเอกสารฉบับนี้เป็นนายสุชาติหรือเปล่า ผมโทรศัพท์ไปเมื่อคืนวันที่ 9 มิ.ย. แต่นายสุชาติไม่รับสาย ฝากบอกนายสุชาติให้รับสายผม ให้คุยกันแบบลูกผู้ชาย ทั้งนี้ที่ผ่านมาก็ดีกัน แต่มาเกิดอะไรขึ้นแบบนี้ผมสงสัย” นายเอกนัฏกล่าว
กระนั้นก็ดี เมื่อจับยามสามตาดูแล้ว ก็ต้องบอกว่า ปฏิบัติการ EP2 ของ “เสี่ยเฮ้ง” ที่ผนวกรวมรายชื่อกลุ่มนักการเมืองชุมพรนั้น มีความไปได้ใน 2 ทาง
ทางแรกคือน่าจะ “พลาดครั้งมโหฬาร” เพราะถ้าย้อนดูความสัมพันธ์ก็จะเห็นว่า กลุ่ม สส.ชุมพรคือสายตรงของ “เลขาฯ ขิง” หรือเป็น “เด็กของกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ” ดังนั้น จะไปเออออห่อหมกกับการไล่ลูกพี่ตัวเองได้อย่างไร
สส.ชุมพรกลุ่มดังกล่าวประกอบด้วย นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส.ชุมพร เขต 1, นายสันต์ แซ่ตั้ง สส.ชุมพร เขต 2, นายสุพล จุลใส สส.ชุมพร เขต 3 และนายชุมพล จุลใส ซึ่งเป็นแกนนำพรรคคนสำคัญ
แถมยังมีชื่อ “เสี่ยแด๊ก-ธนกร วังบุญคงชนะ” สส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งถือเป็นคนของ “บิ๊กตู่-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ต่างหาก ดังนั้น จึงมีข้อสงสัยถึงปฏิบัติการ EP2 ของ “เสี่ยเฮ้ง” ตามมาทันทีเพราะไม่มีรายงานถึงความห่างเหินของ “บิ๊กตู่และหัวหน้าพี”
แต่ช้าก่อน เพราะนี่อาจเป็น “ขิงการละคร” ก็เป็นได้ ด้วยก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างหนาหูเช่นกันว่า “เลขาฯ ขิง” ก็มิได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ “หัวหน้าพี” แต่เพื่อไม่ให้น่าเกลียด ด้วยตัวเองก็ยังเป็นเลขาฯ พรรคอยู่ จึงต้องให้ “เด็กในบ้าน” เล่นละครลับ ลวง พราง หรือถ้าใช้คำว่า “เล่นเกม 2หน้า” ก็คงไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
แล้วสมมติฐานในเรื่องนี้ก็มีน้ำหนักขึ้นมาทันที เมื่อ “เสี่ยเฮ้ง” ไปให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand แบบชัดๆ ว่า นายเอกนัฏก็พยายามขอดีลล้ม “พีระพันธุ์” เพื่อขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเอง
“ที่มาให้สัมภาษณ์ ก็เพราะต้องการแก้ข้อกล่าวหา ผมก็ลูกผู้ชาย ผมถามกลับว่าเลขาฯขิง โทรหาผมทำไม เขาก็บอกให้รับสาย แล้วจะรับได้ยังไง เพราะเป็นความคิดที่รับไม่ได้ เพื่อนบอกว่า นายเอกนัฏขอให้จับมือกัน ช่วยกันขับหัวหน้าพรรคออกไปแล้วเขาจะเป็นหัวหน้าพรรคเอง อย่างนี้มันแรงไป จึงไม่รับสาย”เสี่ยเฮ้งกล่าวพร้อมยืนยันว่า ทั้ง 21 คนเซ็นชื่อจริง โดย “น.ส.พิชชารัตน์ เลาหพงษ์ชนะ” ยื่นให้กับนายกรัฐมนตรีแล้ว
หนักไปกว่านั้นคือ “เสี่ยเฮ้ง” ทิ้งทีเด็ดเอาไว้ด้วยว่า “ชุดที่เขาตั้ง ชุดสุดซอย มันคือชุดอะไร อ้างไปเหยียบตาปลา กระทบใคร ภาพมันก็ดูดี แต่รู้ไหมมันมีชุดสุดซอย แล้วมีชุดตามเก็บอีกชุด”
ขณะที่ “เลขาฯ ขิง” ก็สวนกลับโดยไม่รอช้าว่า ใครกันแน่ที่ชวนจับมือล้มหัวหน้าพีระพันธุ์
“เพื่อนของเขามาชวนผมเองว่า ผมคุยรู้เรื่อง เข้าใจกันได้ งั้นก็ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเลย แล้วเดี๋ยวให้นายสุชาติ มาเป็นเลขาธิการพรรค แต่ผมได้ปฏิเสธไปแล้ว และขอย้ำด้วยว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีขบวนการจ้องทำลายความสัมพันธ์ ให้หัวหน้าพรรค คือ นายพีระพันธุ์ กับตนที่เป็นเลขาธิการพรรค แตกคอกัน”นายเอกนัฏ กล่าว
สำหรับสำหรับ 21 รายชื่อ ส.ส. ประกอบด้วย 1.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 2.นางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 3.นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา 4.น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ส.ส.นครศรีธรรมราช 5.วิชัย สุดสวาสดิ์ ส.ส.ชุมพร 6. นายสันต์ แซ่ตั้ง ส.ส.ชุมพร 7.นายสุพล จุลใส ส.ส.ชุมพร 8.นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 9.นายวัชระ ยาวอหะซัน ส.ส.นราธิวาส 10.พิพิธ รัตนรักษ์ ส.ส.สุราษฎร์ธานี
11.นายพันธ์ศักดิ์ บุญแทน ส.ส.สุราษฎร์ธานี 12.นายปรเมษฐ์ จินา ส.ส.สุราษฎร์ธานี 13.นายถนอมพงษ์ หลีกภัย ส.ส.ตรัง 14.กุลวลี นพอบรมดี ส.ส.ราชบุรี 15.นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ส.ส.เพชรบุรี 16.จ.อ.อภิชาติ แก้วโกศล ส.ส.เพชรบุรี 17.นายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง ส.ส.ชลบุรี 18.นายเกรียงยศ สุดลาภา ส.ส.บัญชีรายชื่อ 19.นายชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 20.นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ 21.นายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท
อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า ความขัดแย้งภายในพรรคนั้นมาจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายนอกเรื่อง “นายทุนพรรค” และปัจจัยภายในเรื่องผลงานของนายพีระพันธุ์ โดยเฉพาะในระยะหลังๆ ที่เงียบผิดปกติ ไม่นับรวมถึงบุคลิกส่วนตัวที่เข้าถึงได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นคนในพรรคหรือแม้แต่ที่กระทรวงพลังงาน ต่างก็บ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่ OK”
แถมยังมีบาดแผลฉกรรจ์ที่พร้อมจะทำให้หมดอนาคตทางการเมืองในหลายเรื่อง โดยเฉพาะกรณีการแจก “ถุงยังชีพ” ที่ว่ากันว่า ช่องที่จะทำให้นายพีระพันธุ์พ้นพงหนานไปได้นั้นแทบมองไม่เห็น
และปัญหาในพรรครวมไทยสร้างชาติก็ได้รับการเฉลยออกมาตรงๆ จากปากของ “ธนกร วังบุญคงชนะ” ที่เป็นหนึ่งในรายชื่อ 21 สส.ที่ลงชื่อขับไล่หัวหน้าพีกับเลขาฯ ขิงอยู่ด้วย
“เสี่ยแด๊ก” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กยาวเหยียด แต่สรุปสาระสำคัญได้ว่า เมื่อ “ลุงตู่” ไม่ได้อยู่อยู่บ้านหลังนี้แล้ว และบ้านหลังนี้เปลี่ยนเจ้าของ ตนเองก็มีสถานะเป็นเพียง “ผู้อาศัย” ที่ไม่รู้สึกอบอุ่น จึงต้องตัดสินใจเดินตามเส้นทางของตัวเอง
แปลไทยเป็นไปก็คือ “เสี่ยแด๊ก” ไปจากพรรครวมไทยสร้างชาติแน่ เพราะไม่สามารถร่วมงานกับเจ้าของคนใหม่ ซึ่งจะเป็นใครเสียมิได้นอกจากหัวหน้าพรรคคนปัจจุบันที่ชื่อ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค”
ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า พรรครวมไทยสร้างชาตินั้นมีปัญหาภายในจริงๆ และอยู่ในขั้นรุนแรงถึงขั้นแตกกันไปคนละทิศละทางเลยทีเดียว โดยปมประเด็นปัญหาคือตัวนายพีระพันธุ์เองที่มิได้มีบารมีเพียงพอถ้าเทียบกับ “ลุงตู่” จนทำให้ไม่สามารถนำพาพรรคได้
ดังนั้น สภาพภายในของพรรครวมไทยสร้างชาติ ณ เวลานี้ จึงเดินไปในโมเดลที่ไม่ต่างอะไรจาก “พรรคพลังประชารัฐ” ของ “ลุงป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” ในช่วงที่ “ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า” นำสส.แยกตัวออกไปอยู่ “พรรคกล้าธรรม” ซึ่งกว่าที่ลุงป้อมจะยอมปล่อยก็ต้องเปิดเกมปะทะกันหลายรอบ และในที่สุดก็มีมติให้ขับพ้นจากพรรค
จากนั้น พรรคพลังประชารัฐก็ถูกอัปเปหิจากพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคกล้าธรรมก็เข้ามาเสียบแทนพร้อมกับได้โควตารัฐมนตรีของพรรคตอบแทนอย่างที่เห็น ๆ กัน
แถมทำท่าว่าอาการจะยิ่งหนักไปข้างหน้า เพราะหลายพรรคก็จ้องจะดูด สส.ของพรรคไปเข้าสังกัดตาเป็นมัน และไม่ใช่มีแค่พรรคกล้าธรรมของ “ผู้กอง” เท่านั้น อย่างล่าสุด “พรรคภูมิใจไทย” ก็เข้าร่วมวงชอปปิงกับเขาด้วย
โดยมีรายงานว่า ภายหลัง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มีคำสั่งเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.แต่งตั้ง นางจิตรา หมีทอง ซึ่งเป็นทีมงาน นายสันติ พร้อมพัฒน์ แกนนำ 6 ส.ส.เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ เป็นคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรมว.มหาดไทย
ช่วงเย็นวันที่ 11 มิ.ย. ปรากฏภาพนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี แกนนำพรรคภูมิใจไทย ได้รับประทานอาหารเย็น ร่วมกับ นายสันติ และ นายกด๊อยซ์ หรือ นายอัครเดช ทองใจสด นายก อบจ.เพชรบูรณ์ ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ ซึ่งคาดว่านายสันติและนายอัครเดช จะขนทีม ส.ส.เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ มาร่วมงานทางการเมืองกับพรรคภูมิใจไทยร้อยเปอร์เซ็นต์
ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น แม้ว่านายพีระพันธุ์จะยื้อเอาไว้ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที แต่สุดท้ายก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าไม่ขับคนเหล่านั้นก็ดำรงสถานะเป็น “งูเห่า” ภายในพรรคอยู่ดี
ที่สำคัญ เมื่อมีการปรับคณะรัฐมนตรี โควตาของพรรครวมไทยสร้างชาติก็ย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปจากที่เห็นทุกวันนี้ เผลอๆ พรรคเพื่อไทยจะโยกไปให้กลุ่มงูเห่าพรรคเสียด้วยซ้ำไป จน “วิทยา แก้วภราดัย” รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องออกมาตีปลาหน้าไซว่า “ถ้านายกฯ ยืนยันว่าจะปรับรมว.พลังงาน รมว.อุตสาหกรรม ออกไป เท่ากับแสดงความจำนงว่ายกเลิกข้อตกลงร่วมรัฐบาล รทสช.มีทางเดียวคือต้องถอนตัวจากรัฐบาลไปเป็นฝ่ายค้าน เพราะเรามั่นใจว่าทั้งสองคนมีผลงานดี”
ที่ต้องขีดเส้นใต้คือ ในขณะที่ชุลมุนจนไม่รู้ๆ อะไรจริงอะไรเท็จ อยู่ๆ ก็ปรากฏรายชื่อ “ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่” ออกมาให้เห็นกันแล้ว นั่นก็คือ “นายจตุพร บุรุษพัฒน์” ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ว่าที่หัวหน้าพรรคโอกาสใหม่
กล่าวสำหรับ “ปลัดตุ๋ม-จตุพร” นั้น เคยมีข่าวในทำนองนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เจ้าตัวก็ได้ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ส่วนรอบนี้มีรายงานว่านายจตุพร ได้ยื่นใบลาออกจากปลัดกระทรวง ทส.แล้วจริง ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ และได้มีการกรอกประวัติเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว โดยนายจตุพร จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.68 นี้ ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือน
ทั้งนี้ นายจตุพรนั้นเป็นที่รับรู้กันว่ามีความสนิทสนมกับ “ปลัดฉิ่ง-นายฉัตรชัย พรหมเลิศ” อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง “สิงห์ดำ” รัฐศาสตร์จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย แถมยังมีข่าวว่าจะข้ามห้วยมาเป็นใหญ่ที่กระทรวงคลองหลอดอีกต่างหาก
ในช่วงปลายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยมีข่าวว่านายฉัตรชัย ได้ออกไปจดจัดตั้งพรรคเศรษฐกิจไทยไว้รองรับการเลือกตั้ง และมีนายจตุพรเป็นหนึ่งในคีย์แมนเบื้องหลังด้วย แต่สุดท้ายไม่ได้มีการทำพรรคต่อ และในเวลาต่อมาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่บทบาทสำคัญกับการก่อกำเนิดของพรรคโอกาสใหม่
ก็มีรู้ว่างานนี้ “ปลัดตุ๋ม” โดยวางยา(เร็วเกินไป) หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ เจ้าตัวปฏิเสธเสียงดังฟังชัดว่า “ยังไม่ลาออก”
ส่วนเมื่อถามว่า ได้มีการทาบทามให้ไปนั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือไม่ นายจตุพร หัวเราะ และพูดย้ำคำเดิมหลายครั้ง ว่า ณ วันนี้ตนยังเป็นปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และเมื่อถามว่า หากหลังเกษียณอายุราชการจะมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ นายจตุพรปฏิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าว
ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ณ เวลา ยังคงต้องรอว่า “นายพีระพันธุ์” จะตัดสินใจทั้งในเรื่องนี้ และอนาคตทางการเมืองของตันเองอย่างไร เพราะเห็นกันชัดๆ ว่า ไปต่อไม่ไหว ถึงไหวก็อาจกลายเป็น “พรรคต่ำสิบ” ก็เป็นได้
วันนี้ ต้องบอกว่า ทั้งพรรคลุงป้อมและพรรคลุงตู่ตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่จริงๆ ซึ่งสุดท้ายแล้วคงไม่แคล้วนำไปสู่การแยกย้ายแบบ “ทางใครทางมัน” ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีก็ถืออีกปมปัญหาที่ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่จะลงตัว