นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน โดยเชื่อว่า เมื่อทักษิณ ชินวัตร ได้โอกาสกลับไทย แต่ยังอวดอ้างบารมีชี้นำนโยบายให้นายกฯ ลูกสาวอุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร และแสดงอำนาจกับข้าราชการให้สมยอมช่วยหลบเลี่ยงหนีติดคุก จึงเกิดวิบากกรรมย้อนวนกลับเข้าสู่ชะตากรรมต้องจบแบบเดิมอีกครั้ง
สิ่งสำคัญวิบากกรรมวนซ้ำของทักษิณ เริ่มต้นขึ้นเมื่อมติแพทยสภายืนยันลงโทษ 3 หมอผิดจรรยาบรรณวิชาชีพโดยเอื้อทักษิณป่วยทิพย์ให้มารักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ ดังนั้นมติยืนยันลงโทษของแพทยสภาจึงสะท้อนถึงการทำหน้าที่ด้วยศักดิ์ศรีถูกต้อง และเท่ากับให้ประชาชนเห็นแสงยุติธรรมที่ปลายอุโมงค์
ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยมติยืนยันเสียงข้างมาก ๆ ของแพทยสภายังลาก นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษที่วีโต้มติลงโทษจริยธรรม 3 หมอมากระทืบซ้ำ เพราะมติยืนยันลงโทษหมอผิดจริยธรรมแต่ละคนมีมากกว่า 60 เสียงจาก 68 เสียงที่เข้าประชุมลงมติ
ทั้งนี้ การยืนยันมติลงโทษจริยธรรม 3 หมอในการประชุมเมื่อ 12 มิ.ย. 2568 จากกรรมการแพทยสภาทั้งหมด 70 คน เข้าประชุม 69 คน แต่ลงมติ 68 คน เพราะกรรมการ 1 เสียงเกี่ยวข้องกับการทำผิดจึงออกจากห้องประชุม ไม่ได้ร่วมลงมติด้วย
"วันนี้แพทยสภาได้ทำความจริงให้ปรากฎแล้ว ยืนยันมติเดิมโดยเสียงลงโทษเกือบเป็นเอกฉันท์ หลังจากนี้ในส่วนแพทย์ รพ.ตำรวจ (ที่ถูกลงโทษจริยธรรม) ต้องถูกตั้งกรรมการสอบวินัย และในส่วนคดีอาญา ปปช.ก็ทำหน้าที่ตาม ม.157 ซึ่งมีโทษนอกจากจะถูกออกจากราชการแล้ว ยังถูกติดคุกอีกต่างหาก"
ส่วนศาลฎีกาฯ นักการเมืองนัดพร้อมหรือไต่สวนกรณีชั้น 14 ในวันที่ 13 มิ.ย.นั้น นายจตุพร กล่าวว่า แม้ทักษิณ มอบหมายให้ทนายไปศาลฎีกาฯ แทน แต่โดยหลักปฏิบัติแล้วศาลจะไต่สวนทนายแทนจำเลยได้ และถ้าข้อมูลพร้อม ศาลอาจสั่งทนายให้พาทักษิณ ซึ่งเป็นจำเลยมาศาลในนัดต่อไป คือ 23 มิ.ย.นี้
อย่างไรก็ตาม ถ้าศาลไต่สวนได้ความชัดเจนว่า จำเลยยังไม่ถูกติดคุกสักวัน ย่อมเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาลอีกข้อหาหนึ่ง จากนั้น ปปช. คงดำเนินคดี ม. 157 และ ม.149 กับผู้เกี่ยวข้องอีกจำนวนมากที่ร่วมกันปกปิดและให้ความช่วยเหลือจำเลยไม่ต้องติดคุกสักวันคืน
"จากวันพรุ่งนี้ (13 มิ.ย.) ไปอีก 10 วัน (ถึง 23 มิ.ย.ที่ทักษิณขอขยายเวลาส่งเอกสารต่อศาล) ทักษิณคงตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งและไม่คิดว่าจะกล้าไปศาลฎีกาด้วย...และเชื่อว่าโอกาสอยู่ในไทยก็ยาก ถ้าอยู่ต้องกลับเข้าคุก หากไม่อยู่ก็เป็นอีกสถานการณ์หนึ่ง"
นายจตุพร เชื่อว่า การเมืองเดินมาถึงจุดใกล้จบกันเต็มทีและอุ๊งอิ๊งค์ ต้องยอมรับความจริงว่า ทำหน้าที่นายกฯ ไม่ไหวแล้ว ยิ่งล่าสุดไปสั่งให้ปิด-เปิดด่านในช่วงเวลาเท่ากันกับกัมพูชา แสดงถึงความไม่เข้าใจกลยุทธการเมืองระหว่างประเทศที่ตึงเครียดในข้อพิพาทดินแดนระหว่างไทย-กัมพูชา
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ของพรรคร่วมรัฐบาลแทบไม่เหลือความมั่นคงอีกแล้ว เพราะเกิดความแตกแยกภายในของแต่ละพรรค โดยเฉพาะพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ สส.เข้าชื่อไล่หัวหน้าพรรคตัวเอง และประกาศท้าทายให้ขับออกจากพรรคด้วย
อีกทั้งกล่าวว่า เมื่อรัฐบาลมีเสถียรภาพคลอนแคลนแล้ว ถ้าเปิดประชุมสภาสมัยสามัญ และพรรคเพื่อไทยยังเสนอกฎหมายบ่อนกาสิโนเข้าสภาอีก ยิ่งกระตุ้นให้ภาคประชาชนลุกฮือขึ้นต่อต้าน
ดังนั้น นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ที่บริหารงานผิดพลาด ทั้งแก้เศรษฐกิจไม่ได้ นำงบประมาณ 1.57 แสนล้านเตรียมไว้แจกเงินดิจิทัลก็ไม่แจก แต่เหมือนเอาไปแบ่งให้โครงการต่างๆ นอกจากนี้ยังเกิดกระทบกระทั่งเป็นความตึงเครียดระหว่างประเทศด้วย
"สถานการณ์ขณะนี้ สะท้อนถึงปลายรัฐบาลแล้ว จึงเกิดเรื่องมากมายประเดประดังเข้าใส่จนเปราะบางและคงรอดยาก ดังนั้นชะตากรรมทักษิณและเพื่อไทยย่อมเดินไปตามทางที่เคยเป็นมาและท้ายสุดต้องจบแบบเดิม"
ประเทศไทยต้องมาก่อน