ถ้าการเจรจานิวเคลียร์ล้มเหลวและความขัดแย้งกับสหรัฐฯปะทุขึ้น อิหร่านจะโจมตีฐานทัพต่างๆของอเมริกาในภูมิภาค จากคำขูของ อาซิซ นาซีร์ซาเดห์ รัฐมนตรีกลาโหมในวันพุธ(11มิ.ย.) ไม่กี่วันก่อนหน้าการเจรจานิวเคลียร์รอบ 6 หลังจากก่อนหน้านี้ถูกประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ส่งเสียงขู่ซ้ำๆว่าจะทิ้งบอมบ์อิหร่าน หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้
"พวกเจ้าหน้าที่บางส่วนของอีกฝ่ายข่มขู่ต่างๆนานาเกี่ยวกับความขัดแย้ง ถ้าการเจรจาไม่บรรลุผล และถ้ามีการยัดเยียดความขัดแย้งให้เรา ทุกฐานทัพของสหรัฐฯอยู่ในพิสัยที่เราเอื้อมถึงและเราจะเล็งเป้าเล่นงานฐานทัพเหล่านั้นในประเทศที่เป็นแหล่งที่ตั้งด้วยความองอาจ" นาซีร์ซาเดห์ กล่าวระหว่างแถลงข่าว
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ส่งเสียงขู่ซ้ำๆว่าจะทิ้งบอมบ์ถล่มอิหร่าน หากว่าเตหะรานไม่บรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับใหม่ การเจรจารอบใหม่มีกำหนดจัดขึ้นในสัปดาห์นี้ แต่ต่างฝ่ายยังคงให้กรอบเวลาที่แตกออกไป โดย ทรัมป์ บอกว่าการเจรจาจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดี(12มิ.ย.) ส่วนอิหร่านระบุว่าการเจรจาจะมีขึ้นในวันอาทิตย์(15มิ.ย.) ในโอมาน
คาดหมายว่าอิหร่านจะยื่นข้อเสนอตอบโต้สำหรับข้อตกลงนิวเคลียร์ หลังจากพวกเขาปฏิเสธข้อเสนอก่อนหน้านี้ของฝ่ายสหรัฐฯ ในขณะที่ ทรัมป์ บอกในวันอังคาร(10มิ.ย.) ว่าอิหร่านดูมีความดุดันกว่าเดิมมากในการเจรจานิวเคลียร์
เตหะรานและวอชิงตัน กระทบกระทั่งกันในประเด็นเสริมสมรรถนะยูเรเนียมในแผ่นดินอิหร่าน ซึ่งพวกชาติมหาอำนาจบอกว่ามันอาจเป็นเส้นทางมุ่งหน้าสู่การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตามทางอิหร่านเน้นย้ำว่าโครงการนิวเคลียร์ของพวกเขา มีสำหรับจุดประสงค์ทางพลเรือนแต่เพียงอย่างเดียว
อีกหนึ่งประเด็นถกเถียงที่เป็นทางตันในการเจรจา ก็คือโครงการขีปนาวุธของอิหร่าน ในขณะที่ขีปนาวุธแบบทิ้งตัวเป็นส่วนที่สำคัญยิ่งสำหรับคลังแสงของอิหร่าน
ในเรื่องนี้ทาง นาซีร์ซาเดห์ กล่าวว่าเมื่อเร็วๆนี้เตหะรานเพิ่งทดสอบขีปนาวุธติดหัวรบหนัก 2 ตัน และจะไม่ยอมรับข้อจำกัดใดๆ ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ระบุอิหร่านควรพัฒนายกระดับความเข้มแข็งทางทหารขึ้นอีกไป ในนั้นรวมถึงในด้านขีปนาวุธ
ตามหลังคำขู่โจมตีฐานทัพต่างๆของอเมริกาในภูมิภาค สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างอิงแหล่งข่าวสหรัฐฯและอิรักเปิดเผยในวันพุธ(11มิ.ย.) ว่าอเมริกากำลังเตรียมการอพยพเจ้าหน้าที่บางส่วนออกจากสถานทูตในอิรัก และญาติๆของทหาร เดินทางออกจากตำแหน่งที่ตั้งต่างๆทั่วตะวันออกกลาง สืบเนื่องจากความเสี่ยงด้านความมั่นคงในระดับสูงในภูมิภาคแห่งนี้
อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯและอิรัก ไม่ได้เจาะจงว่าความเสี่ยงด้านความมั่นคงใดที่กระตุ้นการตัดสินใจดังกล่าว และรายงานข่าวเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการอพยพในครั้งนี้ ผลักให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นกว่า 4%
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งยืนยันว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ทราบเรื่องในความเคลื่อนไหวดังกล่าว
การอพยพเกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดขั้นสูงในภูมิภาค หลังจากสงครามกาซาที่ยืดเยื้อมานาน 18 เดือน โหมกระพือความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ลุกลามบานปลายกลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯและอิสราเอล กับอิหร่านและพันธมิตรของเตหะราน
ทรัมป์ เคยขู่ซ้ำๆว่าจะโจมตีอิหร่าน หากการเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของเตหะรานประสบความล้มเหลว และระหว่างการให้สัมภาษณ์ที่เผยแพร่ในวันพุธ(11มิ.ย.) ผู้นำสหรัฐฯยอมรับว่าเขาเริ่มมีความมั่นใจน้อยลงว่าอิหร่านจะยอมหยุดเสริมสมรรถนะยูเรเนียม ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องหลักของอเมริกา
จากคำเตือนของ นาซีร์ซาเดห์ ที่บอกว่าจะโจมตีแก้แค้นเล่นงานฐานทัพต่างๆของสหรัฐฯในตะวันออก พบว่าอเมริกาประจำการทหารทั่วภูมิภาคผลิตน้ำมันแห่งนี้ โดยพวกเขามีฐานทัพทั้งในอิรัก คูเวต กาตาร์ บาห์เรนและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
(ที่มา:รอยเตอร์)