xs
xsm
sm
md
lg

“มาริษ” มอบ 3 ข้อ ปธ.JBC ไทยคุยเขมร 14 มิ.ย.ต่อยอดผลเจรจาช่องบก ทำเขตแดนให้ชัด ไม่รับศาลโลก-ไม่ต้องการบุคคลที่ 3

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



“มาริษ” มอบนโยบายให้ประธาน JBC ฝ่ายไทย ประชุมกับกัมพูชาวันที่ 14 มิ.ย.ขยายผลการเจรจาของฝ่ายทหารที่ช่องบกที่สามารถลดความตึงเครียดลงไปแล้วระดับหนึ่ง ให้เกิดสันติสุขอย่างถาวร มีความชัดเจนเรื่องเขตแดน พร้อมย้ำต้องเสียอธิปไตยแม้นิดเดียว ยึดมั่นการแก้ปัญหาด้วยกลไกทวิภาคี ไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ไม่ต้องการบุคคลที่สาม

วันนี้(11 มิ.ย.) เมื่อเวลา 16.57 น. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศแถลงข่าวสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ที่กระทรวงการต่างประเทศ ว่า วันนี้ได้มีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(JBC)ฝ่ายไทยครั้งที่ 2 โดยก่อนประชุมได้เชิญนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการฯ มาหารือแล้วได้มอบนโยบายในการเจรจา รวมทั้งท่าทีของเราเพื่อใช้เป็นจุดสําคัญในการเจรจาพูดคุยกับฝ่ายกัมพูชาวันที่ 14 มิ.ย.นี้ โดยนโยบายเป็นหลักการสําคัญๆ 3 ประการ ได้แก่

ประการที่ 1 อยากให้คณะผู้แทนโดยประธานคณะกรรมาธิการของไทยได้โน้มน้าวให้ทางฝ่ายกัมพูชาตระหนักว่าเราได้แก้ไข ลดความตึงเครียดในบริเวณพื้นที่ไปแล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งต้องขอขอบคุณฝ่ายทหารที่ได้ช่วยเจรจาแล้วก็สามารถลดการเผชิญหน้าระหว่าง 2 ฝ่ายลงได้ในระดับหนึ่ง ตรงนี้ก็อยากจะขยายผลให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเจบีซีทั้งคู่ในการขยายผลของการเจรจาเพื่อให้บริเวณพื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ที่อยู่ร่วมกันโดยสันติสุขจริงๆ และยั่งยืนถาวร ไม่มีการเผชิญหน้ากันอีก

ทั้งนี้ กลไกในการเจรจา 2 ฝ่ายของเรามีทั้ง JBC, RBC และ GBC ทั้ง 3 กลไกเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด อยากเห็นทั้งหมดนี้สามารถต่อยอดขยายผลจากที่ทางฝ่ายทหารได้ลดความตึงเครียดตรงนั้นไปแล้ว เพื่อให้พื้นที่ตรงบริเวณเป็นพื้นที่ที่มีความสงบสันติสุข

“ซึ่งทั้งหมดเนี่ยนะครับผมขอเรียนว่าเป็นเรื่องที่ผู้นําของทั้ง 2 ประเทศนะครับ ระหว่างท่านนายกรัฐมนตรี แพทองธาร กับท่านนายกรัฐมนตรีหุ่นมาเนตได้พูดกันมาโดยตลอดครับ” นายมาริษ กล่าว


นายมาริษ กล่าวต่อว่า ประการที่ 2 ซึ่งเป็นเรื่องที่สําคัญแล้วก็เป็นบทบาทสําคัญของคณะกรรมาธิการเจบีซี คือต้องการให้การเจรจาในวันที่ 14 นี้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเรื่องของเส้นเขตแดน เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้มีความเข้าใจที่ชัดเจนร่วมกันในเรื่องของเขตแดนและนําไปสู่การแก้ไขปัญหาในเรื่องเขตแดนอย่างยั่งยืน มีการทําให้ทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าเส้นเขตแดนเราอยู่กันตรงไหน

ประการที่ 3 เรื่องสําคัญที่สุดที่ได้ขอให้ประธานเจบีซียึดถือไว้ก็คือการเจรจาต้องยืนหยัดในเรื่องของอธิปไตยของประเทศ และจะไม่ยอมให้ประเทศไทยเสียดินแดนแม้แต่นิดเดียวโดยเด็ดขาด แล้วก็ยืนยันว่า ประเทศไทยคิดว่าในกลไกของการเจรจา กลไกของการแก้ไขปัญหาระหว่างกันภายใต้กรอบของการปฏิบัติขององค์การสหประชาชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศเนี่ยมีกลไกของการแก้ไขปัญหาด้วยหลายวิธี แต่วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดและในท้ายที่สุดแล้วองค์การสหประชาชาติก็มักจะขอให้ประเทศที่มีปัญหาไปเจรจากัน 2 ฝ่ายก็คือใช้กลไกของทวิภาคีในการแก้แก้ไขปัญหา เป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพ และเป็นกลไกที่เหมาะสมที่สุด

“ดังนั้นเราก็จะยืนยันว่าประเทศไทยเราไม่ได้ยอมรับอํานาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2503 เราจะไม่ยอมรับอํานาจนี้โดยเด็ดขาด และจะทําให้เรื่องของการแก้ไขปัญหาระหว่างกัน ไปใช้กรอบของการหารือทวิภาคีระหว่างกัน ซึ่งเป็นกลไกที่ผมได้เรียนไปแล้วว่ามีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมมากที่สุด” นายมาริษ กล่าว

นายมาริษ กล่าวอีกว่า ตั้งแต่เกิดปัญหากระทบกระทั่งกันตามบริเวณชายแดนนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมมือและบูรณาการการหารือกับฝ่ายกัมพูชาด้วยกันระหว่างกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศ เพราะฉะนั้นทั้ง 2 กระทรวงคือกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศ ได้บูรณาการท่าทีและใช้ท่าทีร่วมกันในการแก้ปัญหามาตั้งแต่ต้น ในกรอบของการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายทหารก็สอดคล้องสอดรับ ทําให้การใช้มาตรการทางการทูตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกัน และในขณะเดียวกันกลไกของการทูตระหว่างประเทศที่กระทรวงการต่างประเทศใช้ก็ส่งเสริมหรือช่วยเหลือที่ทําให้การเจรจาของฝ่ายทหารบรรลุผลได้เป็นอย่างดี

“ขออนุญาตเรียนด้วยนะครับว่ากระทรวงการต่างประเทศ หลังจากที่ได้บูรณาการกับกระทรวงกลาโหมอย่างใกล้ชิด แล้วก็เป็นเนื้อเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศได้ใช้มาตรการการดําเนินการทางการทูตนะครับ ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติของสากลอย่างเข้มข้นนะครับ แล้วก็เป็นหลักปฏิบัติทางสากลตามวัฒนธรรมที่นานาอารยประเทศเขาใช้กันครบถ้วนทุกประการตั้งแต่น้อยไปหามาก” นายมาริษ กล่าว

นายมาริษ ตอบคำถามถึงท่าทีของไทยกรณีกัมพูชาเตรียมเรื่องที่จะส่งไปศาลโลกว่า ได้เรียนไปหลายหนแล้วว่าการแก้ไขปัญหาระหว่าง 2 ประเทศ แม้กระทั่งในกรอบขององค์การสหประชาชาติ มีหลายกลไก เราเชื่อมั่นและยืนยันว่ากลไกที่ดีที่สุด มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือกลไกของการแก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี ซึ่งเรามีทั้งเจบีซี อาร์บีซี แล้วก็จีบีซีที่ชัดเจน แล้วก็มีประสิทธิภาพมากที่สุด

“เพราะฉะนั้นเรียนได้เลยว่าประเทศไทยไม่ได้ยอมรับอํานาจศาลโลกเราประกาศที่จะไม่ยอมรับเขตอํานาจศาลของ ICJ มาตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน เพราะฉะนั้นเราก็ยังคงยืนยันว่ากลไกที่ดีที่สุดคือการเจรจาทวิภาคี ไม่ใช่การเอาไปที่ศาลโลกครับ” นายมาริษ กล่าว


เมื่อถามว่า กรณีกัมพูชาเดินสายคุยกับนานาประเทศ ประเทศไทยได้ดําเนินการอะไรบ้างกับประเทศที่ 3 หรือว่าประเทศอื่น นายมาริษตอบว่า ประเทศไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศได้มีปฏิสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ มาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการชี้แจงจุดยืนแล้วก็อธิบายให้ทุกประเทศได้เห็นถึงข้อเท็จจริงไม่ว่าจะเป็นสมาชิกของอาเซียน มิตรประเทศต่างๆ แต่การดําเนินการของเราก็เป็นไปอย่างชัดเจนกับทุกประเทศที่เราคิดว่าจะให้เขาเข้าใจในจุดยืนและข้อเท็จจริง

เราได้พยายามโน้มน้าวให้เขาเข้าใจว่าการแก้ไขปัญหาของเรา เรายืนหยัดในเรื่องของการแก้ไขปัญหาระหว่าง 2 ประเทศโดยใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เรายังไม่มีความประสงค์ที่จะให้ประเทศอื่นๆ หรือองค์กรอื่นใดเข้ามาเป็น third party ในการช่วยเราแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ ทุกประเทศก็ใช้วิธี เมื่อเวลามีปัญหาเกิดขึ้น แม้กระทั่งองค์การสหประชาชาติก็จะแนะนําว่าให้ทุกฝ่ายอดทนอดกลั้นแล้วใช้การเจรจาทวิภาคีเป็นหลักในการแก้ไขปัญหา

ส่วนการประชุม JBC ในวันที่ 14 นี้จะมีการรายงานผลอย่างไรนั้น นายมาริษกล่าวว่า หลังจากการเจรจาไปแล้วจะให้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับโฆษกที่ตั้งขึ้นมาเป็นกลุ่ม เป็นผู้ให้ข้อมูลรายละเอียดของผลลัพธ์ของการประชุม รวมทั้งจะใช้โอกาสตรงนี้ขยายผลให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กับสถานทูตต่างๆ มากยิ่งขึ้น ต้องการให้การแก้ไขปัญหาในระดับตรงนี้เป็นการแก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี 2 ฝ่ายก่อน เราไม่จําเป็นต้องให้ประเทศที่ 3 หรือองค์กรที่ 3 บุคคลที่ 3 เข้ามาช่วยเราในการแก้ไขปัญหา เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้ดําเนินมาตรการแก้ไขปัญหาโดยใช้กลไกทวิภาคีคือเจบีซี แล้วก็ต้องมาขยายผล แล้วก็จะให้โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ ให้ข้อมูลหรือให้ชี้แจงผลลัพธ์ของการเจรจาในวันที่ 14 ของ JBC ต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น