แพทองธารและคณะลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ แปลกใจทำไมด่านไทย-กัมพูชาเปิดเวลาไม่ตรงกัน แม่ทัพภาค 2 แจงอาจมีนัยทางการเมืองเล็กน้อย จะลองประสานอีกฝั่งดู นายกฯ ลั่นเปิด-ปิดตรงกัน จะได้ค้าขายเท่ากัน ขอกำชับสกัดเฟกนิวส์ อีกด้านไปชมหลุมหลบภัย บอกทำไมไม่ของบมหาดไทยทำให้มันดีๆ ถาม "มีความลับป่ะเนี่ย"
วันนี้ (11 มิ.ย.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เพื่อประชุมติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการช่วยเหลือประชาชนใน 7 จังหวัด ได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด ณ ห้องประชุมอัมพรพิมาน โรงพยาบาลกาบเชิง จ.สุรินทร์ โดยนายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ด่านช่องจอมได้เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-22.00 น. ภายหลังจากมีมาตรการควบคุมชายแดน จะเปลี่ยนเวลาเปิด-ปิด เป็นวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ เวลา 08.00-15.00 น. ซึ่งทางกัมพูชาก็มีการประกาศเลื่อนการเปิด - ปิดด่านเช่นกัน โดยเปิดเวลา 09.00-16.00 น. ซึ่งมีเวลาที่เปิด-ปิดตรงกันเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้นายกรัฐมนตรีสอบถามว่า ในพื้นที่สามารถประสานได้หรือไม่ให้เปิดเวลาตรงกัน ต้องให้ทางหน่วยงานความมั่นคงดูว่าเปิดให้เท่ากันได้หรือไม่
ด้าน พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า หน่วยงานความมั่นคงจะลองประสานกับกองทัพฝ่ายกัมพูชาดู พร้อมยอมรับว่าอาจมีนัยบางอย่าง เหมือนมีลักษณะของการเมืองเล็กน้อย เพื่อชิงความได้เปรียบ และหลังจากนี้ฝ่ายความมั่นคง ผู้ว่าฯ ในพื้นที่จะมีการหารือกันต่อไป นายกรัฐมนตรี จึงระบุอีกว่า ถ้าเรายึดถือผลประโยชน์ของประชาชน เปิด-ปิด ตรงกัน จะได้ค้าขายได้เท่ากัน อันนี้จะดีกว่า ขอให้ลองดู คงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมีปัญหา
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัด ได้รายงานความคืบหน้าสถานการณ์จริง บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และเมื่อสักครู่ได้มีการพูดถึงเรื่องหลุมหลบภัย ขอให้แจ้งมายังกระทรวงมหาดไทยว่าต้องการซ่อมแซมแบบไหน เพราะชีวิตเด็กๆนักเรียน ต้องให้ความรู้เมื่อไหร่ที่จะต้องใช้หลุมหลบภัย และอยากให้บรรจุอยู่ในการเรียนการสอนทุกปี ไม่จำเป็นจะต้องเฉพาะในช่วงที่มีสถานการณ์ เพื่อให้เด็กๆทราบเหมือนกับประเทศญี่ปุ่นว่าสถานการณ์ไหนควรใช้เมื่อไหร่
ขณะเดียวกัน ต้องขอขอบคุณแม่ทัพภาค 2 ที่อยู่หน้างานตลอดและทราบถึงแรงกดดัน ได้พยายามเน้นเรื่องสันติภาพและความสงบสุข ไม่อยากให้เกิดกระแสความรุนแรง เพราะต้องคิดถึงชีวิตของคนหน้างานว่ามีความกดดันสูง ซึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อคุยกันระหว่างตนและนายกฯ กัมพูชา ได้เน้นย้ำเรื่องนี้ ล่าสุดที่คุยกันอยากให้ทั้งสองประเทศเกิดความสงบสุข และขอยืนยันเรื่องการรักษาอธิปไตย ที่สำคัญกระทรวงมหาดไทยต้องทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้า ประสานกันว่าเกิดเหตุการณ์แล้วมีที่ปลอดภัยและมีปัจจัย 4 เพียงพอหรือไม่ ให้ดูเรื่องนี้เป็นสำคัญ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ส่วนเรื่องความสงบได้พูดคุยกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม และ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ว่ามีกระบวนการหรือข้อความแบบไหนที่ภายในคุยกันไว้แล้วยังไม่สามารถสื่อสารได้ เพราะการคุยกันระหว่างประเทศต้องเคารพกติกา และข้อตกลงระหว่างประเทศ แต่ต้องบอกกันตลอดเพื่อให้สื่อสารตรงกัน ย้ำว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนประชาชนและเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่ ขอให้แต่ละกระทรวงรายงานตรงมายังกระทรวง และอยากให้ทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ว่าทำอะไรอยู่บ้าง ไม่ให้ปล่อยเฟกนิวส์หรือข้อมูลที่เกิดความเข้าใจผิด ทำให้เกิดความวุ่นวายในสังคมได้
โดยทุกคนที่มีตำแหน่งตรงนี้ มีความน่าเชื่อถือ สามารถติดต่อประชาชนได้ บอกได้ว่าอะไรคือเรื่องจริง ไม่เป็นเรื่องจริง อะไรที่ไม่ใช่เรื่องจริงก็ขอให้รีบแก้ ไม่อยากให้ขยายความไปมากกว่านี้ ขอให้ทุกคนทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่เป็นทีมเดียวกัน ยังไงประเทศไทยเป็นของพวกเราทุกคน เราต้องรักษาไว้และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราอย่างเต็มที่ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกหน่วย จากนี้ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้นำหรือกองทัพ เป้าหมายเดียวกัน คือ รักษาสันติภาพเอาไว้ ส่วนเรื่องรายละเอียดก็ว่ากันไปตามหัวข้อ แต่เรื่องที่จะดีลกันจะไม่เอามารวมกัน พูดคุยกันทีละข้อ เคลียร์กันแต่ละเรื่องไป
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางต่อไปยังฐานปฏิบัติการกองกำลังสุรนารี อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เพื่อตรวจเยี่ยมและมอบสิ่งของบำรุงขวัญให้แก่กำลังพล และรับประทานอาหารกลางวันเป็นข้าวกล่องร่วมกัน ภายหลังรับประทานอาหาร นายกรัฐมนตรี ได้เดินเข้ามาพูดคุย และทักทายให้กำลังใจกำลังพลที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่ โดยสอบถามทหารว่า เป็นอย่างไรบ้าง ทุกคนทำหน้าที่กันเต็มที่ ขอบคุณมาก ๆ ก่อนพูดติดตลกว่า “ทำไมทุกคนดูเงียบกันจัง”
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้พูดคุยกับ พล.อ.ณัฐพล สอบถามถึงเรื่องเวลาการเปิด-ปิดด่านว่าขณะนี้ช่วงเวลาเหมาะสมแล้วหรือไม่ หรือจะต้องมีอะไรปรับเปลี่ยน ก่อนเดินทางต่อมาที่จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม รับฟังบรรยายสถานการณ์การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา หลังมีมาตรการการจำกัดเวลาเปิด-ปิดด่านพรมแดน ระหว่างนั้นได้มีคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อให้พิจารณาการสร้างด่านถาวรแห่งใหม่ที่จังหวัดสุรินทร์ เนื่องจากด่านเก่ามีขนาดเล็ก และอยากให้ทุกหน่วยงานมาอยู่รวมกันเพื่อทำเป็น One Stop Service
นายกรัฐมนตรีและคณะ ยังเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านสกลพัฒนา ต.ตะเคียน อ.กาบเชิง เพื่อพบปะชาวบ้าน มอบสิ่งของ และตรวจดูการทำบังเกอร์หลบภัย โดยนายกรัฐมนตรีให้ความสนใจขอเข้าไปเยี่ยมชมการสร้างบังเกอร์ นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ อธิบายว่า หลุมหลบภัยเป็นหลุมชั่วคราว เพราะเวลายิงกันก็ยิงกันไม่นาน ซึ่งหลุมสี่เหลี่ยมเป็นแบบของราชการ แต่ที่ทำวงกลมขอบริจาคมา ซึ่งยังไม่ได้ใช้งบประมาณ ส่วนยางรถยนต์จะไม่นิยมใช้เนื่องจากติดไฟง่าย แนวหน้าจะไม่ใช้ แต่เราหาไม่ได้ ขอบริจาค มีอะไรก็เอาไปก่อน ซึ่งขอบริจาคมา และชาวบ้านทำกันเอง
ทำให้นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผู้ว่าฯ แจ้งใคร ทำไมไม่แจ้งมาทางกระทรวง แจ้งมหาดไทยไปเลย โถ่ ต้องทำให้มันดี ๆ หรือเปล่า ผู้ว่าฯ จึงบอกว่า แบบมาตรฐานก็มี เมื่อสักครู่ขับรถผ่านในหมู่บ้านก็มี ของตอนปี 54 อันนั้นใช้งบราชการ ทำให้นายกฯ ถามต่อว่า แล้วที่บอกว่าอยากได้เพิ่มนั้น อยากได้ตรงไหน ดูโลเคชั่นไว้แล้วหรือไม่ ผู้ว่าฯ จึงบอกว่า มีแล้ว สำรวจไว้หมดแล้ว นายกฯ จึงบอกว่า “ผู้ว่าฯ มีความลับป่ะเนี่ย” ทำให้ผู้ว่าฯ ไปอธิบายต่อว่า จริง ๆ ไม่ได้ต่างกัน เพราะอย่างไรก็ปลอดภัยกว่าอยู่ในบ้าน เนื่องจากเป็นคอนกรีต