ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ รู้จัก “รองแม่ทัพณัฏฐ์”ผู้นำทีมเจรจากัมพูชา หนึ่งในแคนดิเดต แม่ทัพภาค 2
จากกรณี “พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี” ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เรียกประชุมประชุม ผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งสี่ คือ ผบ.ทบ.- ผบ.ทร.- ผบ.ทอ.และ ผบ.ตร. เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อหารือถึงสถานการณ์ชายแดน และการรักษาอธิปไตยของไทย โดยไม่เชิญ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เข้าร่วม
จากนั้น ก็มีมาตรการการตอบโต้กัมพูชา ด้วยการปิดด่านชายแดน แม้จะไม่เป็นการปิดร้อยเปอร์เซ็นต์ คือยังให้ทำมาค้าขายกันได้ แต่ร่นเวลาเปิด-ปิด และห้ามนักท่องเที่ยว นักพนัน ผ่านด่านไปเข้าบ่อนการพนันในฝั่งกัมพูชา
ถือว่าเป็นการกดดัน “ถูกจุด” แค่นี้รัฐบาล ”ฮุน มาเนต” ก็ดิ้นพล่าน เพราะสูญเสียรายได้หลักที่สำคัญ หากไทยยกระดับ ตัดไฟ ตัดเน็ต จะยิ่งเสียหายหนัก
ทางฝ่ายกัมพูชา โดย “พล.ท.สรัย ดึ๊ก” รองผบ.ทบ.และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชา จึงได้ประสานมายัง “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อขอเจรจา โดยแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ส่ง “พล.ต.สมภพ ภาระเวช” ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และ “พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์” รองแม่ทัพภาค 2 ไปเจรจาเคลียร์ปัญหาการรุกล้ำดินแดน เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในพื้นที่พิพาท บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี
ผลการเจรจาครั้งนี้ได้ข้อยุติว่า กำลังทหารทั้งสองฝ่าย จะลดการเผชิญหน้า ถอยกลับไปยังจุดที่เคยอยู่ เมื่อปี 2567 พร้อมทั้งให้ฝ่ายกัมพูชา ปิดกลบคูเลต ปรับพื้นที่ให้อยู่ในสภาพเดิม ทำให้สถานการณ์ตึงเครียด เริ่มคลี่คลายลง
และคีย์แมนคนสำคัญในการเจรจาครั้งนี้ ก็คือ “พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์” ผู้มีบุคลิกเป็นกันเอง แต่มีความเด็ดขาด ที่สำคัญพูดภาษาเขมรได้
หลังการเจรจา “พล.ต.ณัฏฐ์” ได้โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 68 ว่า "คุยกันอย่างลูกผู้ชาย…ไม่เสียเลือดเนื้อ ไม่เสียความสัมพันธ์ ไม่เสียเศรษฐกิจ" พร้อมภาพเบื้องหลังการเจรจากับทางกัมพูชา
“พล.ต.ณัฏฐ์” ลูกชาวนา เด็กสุรินทร์ ที่อยากจะเป็นทหาร สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 27 และรับราชการในกองทัพภาค 2 สายกองกำลังสุรนารี มาโดยตลอด
“พล.ต.ณัฏฐ์” ถือเป็นดาวเด่นของทหารอีสาน เป็นทหารนักรบอีสานใต้ ที่เดินมาแล้วแทบทุกตารางนิ้วชายแดนไทย-กัมพูชา และผ่านสมรภูมิสำคัญๆ โดยเฉพาะกรณีพิพาทเขาพระวิหาร จนเป็นที่จดจำ รู้จักของทหารเขมร และรู้เท่าทันกลเกมของทหารเขมร
รางวัลเกียรติยศจักรดาว ศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหารดีเด่น สาขาการทหาร การันตีถึงการยอมรับในฝีมือด้านการทหาร
ด้วยสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ เช่นนี้ ถามว่า เมื่อ “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” เกษียณอายุราชการในปีนี้ “พล.ต.ณัฏฐ์” ในฐานะรองแม่ทัพ จะขึ้นถึงตำแหน่ง แม่ทัพภาคที่ 2 หรือไม่...
อันนี้นอกจากเรื่อง “วาสนา” แล้วยังต้องดู “องค์ประกอบ” อื่นๆด้วย
ปัจจุบัน “พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์” เตรียมทหารรุ่น 26 เป็น ผบ.ทบ. เวลาจะเลือกใครขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาค ก็มักจะดึงเพื่อนร่วมรุ่น มาเป็นมือเป็นไม้
และเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 26 ที่จอคิวรอขึ้นเป็นแม่ทัพภาคอยู่ ก็มี “พล.ต.วีระยุทธ รักศิลป์” และ “พล.ต.นรทิพย์ โพยนอก”
พูดง่ายว่า ที่ผ่านมานั้น “พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์” เป็นเต็ง 3
ดังนั้น โอกาสที่ “พล.ต.ณัฏฐ์” จะฝ่าวงล้อม ตท.26 ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาค 2 จึงไม่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส
++ "บำรุงราษฎร์" ซวนเซ! เศรษฐีน้ำมันหายหน้า หุ้นร่วงกว่าครึ่ง
ช่วงนี้ตลาดหุ้นมีเรื่องเม้าต์กันให้แซ่ด! เมื่อเพจ “รวยหุ้นง่ายๆ สไตล์ DR.A” ชำแหละเบื้องหลังหุ้น "โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์" หรือ BH ที่ราคาหุ้นรูดกราวจาก 280 กว่าบาท เหลือแค่ 140 บาท หายไปถึง 50%
งานนี้ขาเม้าต์ ก็เลยสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับโรงพยาบาลที่เคยเป็นจุดหมายของเศรษฐีน้ำมันกันแน่?
เรื่องของเรื่องก็คือ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์กำลังเผชิญกับภาวะรายได้หดหายอย่างหนัก เพราะบรรดาผู้ป่วยกระเป๋าตุง จากตะวันออกกลางที่เคยเป็นลูกค้าชั้นดี หายหน้าไป
จากเดิมที่เคยสร้างรายได้ให้ถึง 25-30% ของทั้งหมด วันนี้เหลือเพียง 17-18% เท่านั้น แถมตัวเลข 9 เดือนที่ผ่านมา ยังฟ้องว่า BH เสียรายได้ไปแล้วกว่า 1,300 ล้านบาท!
นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแว้ว!
เจาะลึกลงไปก็พบว่า คูเวต ที่เคยเป็นลูกค้า VIP ส่งผู้ป่วยมาสร้างรายได้ให้ BH ปีละ 1.7 พันล้านบาท อยู่ๆ ก็กลายเป็น "ศูนย์" ไปซะงั้น เพราะกลางปี 2567 รัฐบาลคูเวต เจอการทุจริตในระบบเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลต่างประเทศ เลยสั่งงดส่งผู้ป่วยเกือบทั้งหมด ทำให้รายได้จากคูเวต ของ BH ลดฮวบไปกว่า 90%!
ยังไม่หมดแค่นี้! กาตาร์ ที่เคยเป็นแหล่งรายได้หลักถึง 45-50% ของกลุ่มตะวันออกกลาง ก็เริ่มหันหลังให้ BH เหมือนกัน เหตุผลก็คือ รัฐบาลกาตาร์รัดเข็มขัดจากราคาน้ำมันที่ดิ่งลง เลยมองหาโรงพยาบาลคุณภาพใกล้เคียง แต่ราคาเป็นมิตรมากกว่า สงสัยว่างานนี้ BH ต้องกลับไปทำการบ้านเรื่องราคาค่ารักษาซะแล้วล่ะมั้ง!
จุดที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือ ผู้ป่วยตะวันออกกลางไม่ได้หายไปจากประเทศไทย แต่พวกเขาแค่เปลี่ยนที่นอนหรือไม่?
เพราะราคาค่าใช้บริการของ BH นั้นแพงหูฉี่กว่าคู่แข่งขันในระดับเดียวกัน อย่างโรงพยาบาลกรุงเทพ (BDMS) และ โรงพยาบาลพระราม 9 (PR9)
ขณะที่ BH รายได้จากตะวันออกกลางลดลง 20-30% ที่ BDMS รายได้จากตะวันออกกลางพุ่งขึ้น 56-60% เช่นเดียวกับ PR9 ที่รายได้จากตะวันออกกลางทะยานกว่า 100%
นี่ชัดเจนว่า ทำไม BH ถึงเสียลูกค้าให้คู่แข่ง? คำตอบก็คือ "ราคา" นั่นเอง !
ลองดูแพกเกจตรวจสุขภาพง่ายๆ ก็พอจะเห็นภาพ แพกเกจพื้นฐาน BH เริ่มที่ 16,100 บาท ส่วน BDMS แค่ 5,400 บาท หรือ ถูกกว่า 3 เท่า! และ PR9 ที่ 10,400 บาท
แพกเกจระดับ VVIP ของ BH อยู่ที่ 80,100 บาท ส่วน BDMS 43,000 บาท หรือ ถูกกว่าเกือบครึ่ง! และ PR9 อยู่ที่ 66,900 บาท
สรุปง่ายๆ คือ BH แพงกว่า BDMS ถึง 50-100% และแพงกว่า PR9 ประมาณ 20-30% ในยุคที่ใครๆ ก็ต้องประหยัด การเลือกโรงพยาบาลที่คุณภาพดีใกล้เคียงกัน แต่ราคาถูกกว่า ก็เป็นเรื่องที่เมกเซนส์สุดๆ ใช่หรือไม่ ?
ว่ากันว่า ตอนนี้ทีมผู้บริหาร ของ BH กุมขยับปวดเฮดเป็นทิวแถว ว่าจะแก้เกมนี้อย่างไร !?
แต่ก็ยังดี ที่มีแสงสว่างปลายอุโมงค์ให้เห็นเรื่อๆ บ้าง นั่นคือ ซาอุดีอาระเบีย ที่กำลังจะเป็นตัวพลิกเกมสำคัญของ BH หากดีลความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย-ซาอุฯ ที่กำลังจะลงนามสำเร็จ และ BH ได้เข้าระบบ Saudi Health Insurance (CCHI) ล่ะก็...รายได้จากซาอุฯ มีโอกาสพุ่งจาก 1% เป็น 3-4% ของรายได้รวม หรือเพิ่มขึ้นปีละ 400-600 ล้านบาทเลยทีเดียว!
ในมุมกลับหากล้มเหลว... อนาคตของ BH อาจจะมืดมนกว่าที่ใครคาดคิดหรือไม่!
งานนี้ต้องจับตาดูปลายปี 2568 หรือ ต้นปี 2569 ว่า BH จะคว้าดีลนี้ได้สำเร็จหรือไม่
ในระยะสั้น 6 เดือนข้างหน้า BH คงยังต้องเจอแรงกดดันจากการเสียผู้ป่วยตะวันออกกลาง และการแข่งขันกับ BDMS และ PR9 ก็ยังคงดุเดือด แต่ในระยะยาว 12-18 เดือน ถ้าคว้าดีลซาอุฯ ได้สำเร็จ และราคาน้ำมันกลับมาฟื้นตัว อาจจะดึงผู้ป่วยกาตาร์ กลับมาได้ ว่ากันว่า BH ก็มีโอกาสกลับมาผงาดอีกครั้ง !
สรุปว่า ปัจจัยสำคัญเพียงหนึ่งเดียวที่จะทำให้ BH กลับมายิ่งใหญ่ได้ก็คือ "ดีลซาอุฯ" นี่แหละ!
หรือบำรุงราษฎร์อาจจะต้องปรับตัวกลยุทธ์ใหม่ เพื่อเอาตัวรอดก็เป็นได้
นี่ก็เป็นความเคลื่อนไหวในวงการธุรกิจโรงพยาบาลที่ว่ากันว่านาทีนี้แต่ละแห่งหน้าซีดหน้าเซียวกันยิ่งนัก.