รอยเตอร์ – ผู้ช่วยระดับสูงของทรัมป์ 3 คนจะพบกับคณะผู้แทนจีนที่ลอนดอนในวันจันทร์ (9 มิ.ย.) เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจที่ทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกกังวลและสับสนอลหม่าน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์บนแพลตฟอร์มทรูธ โซเชียลว่า สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง, โฮเวิร์ด ลุกนิก รัฐมนตรีพาณิชย์ และเจมิสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ จะเป็นตัวแทนในการเจรจาดังกล่าว
ทางด้านกระทรวงต่างประเทศจีนแถลงเมื่อวันเสาร์ (7 มิ.ย.) ว่า รองนายกรัฐมนตรีเหอ ลี่เฟิง จะเดินทางไปยังสหราชอาณาจักรระหว่างวันที่ 8-13 มิ.ย. ซึ่งในระหว่างนั้นจะมีการจัดการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนและอเมริกาครั้งแรก ทรัมป์ยังโพสต์ว่า การประชุมดังกล่าวจะดำเนินไปด้วยดี
ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯ หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน เมื่อวันพฤหัสบดี (5 มิ.ย.) ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าและข้อพิพาทเกี่ยวกับแร่ธาตุสำคัญตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทรัมป์และสียังตกลงว่า จะเดินทางเยือนอีกฝ่าย และขอให้เจ้าหน้าที่ของสองประเทศจัดการหารือไปด้วยพร้อมกัน
ทั้งจีนและอเมริกาต่างถูกบีบให้ผ่อนคลายความขัดแย้ง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกถูกกดดันจากมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายากหรือแรร์เอิร์ธของจีน ขณะที่นักลงทุนกังวลกับความพยายามของทรัมป์ในการบังคับใช้ภาษีศุลกากรกับประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่
ขณะเดียวกัน จีนถูกอเมริกาจำกัดการเข้าถึงสินค้าสำคัญ เช่น ซอฟต์แวร์การออกแบบชิปและชิ้นส่วนสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
เมื่อวันที่ 12 พ.ค. สองประเทศทำข้อตกลงลดภาษีศุลกากรตอบโต้กันและกันที่เดิมอยู่ในอัตราเลข 3 หลัก เป็นเวลา 90 วันระหว่างการหารือรอบแรกที่เจนีวา ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกดีดขึ้นโดยพร้อมเพรียง ซึ่งรวมถึงดัชนีหุ้นสำคัญของอเมริกา
ตัวอย่างเช่น ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่เมื่อต้นเดือนเมษายนทำสถิติต่ำสุดโดยหล่นฮวบเกือบ 18% หลังจากทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีศุลกากร “วันปลดปล่อย” กับสินค้านำเข้าจากทั่วโลก แต่ล่าสุดเทรดที่ระดับต่ำกว่าสถิติสูงสุดที่ทำไว้กลางเดือนกุมภาพันธ์แค่ 2% และการดีดขึ้นรอบที่ 3 เกิดขึ้นหลังจากอเมริกาและจีนทำข้อตกลงสงบศึกการค้าชั่วคราวที่เจนีวาเมื่อเดือนที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้แก้ไขข้อกังวลที่ครอบคลุมกว่านั้นซึ่งส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ อาทิ การลักลอบค้าเฟนทานิล และสถานะของไต้หวัน นอกจากนั้นอเมริกายังร้องเรียนเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจจีนที่มีภาคส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนและอยู่ภายใต้การครอบงำของรัฐบาล
ที่ผ่านมา ทรัมป์ขู่มาตลอดว่า จะออกมาตรการลงโทษประเทศคู่ค้า แต่หลายครั้งกลับยกเลิกในนาทีสุดท้าย แนวทางที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมานี้สร้างความสับสนให้กับผู้นำและนักธุรกิจทั่วโลก
ทางฝ่ายจีนนั้นมองว่า การส่งออกแร่ธาตุสำคัญเป็นอาวุธอย่างดีในการต่อรองกับอเมริกา และการระงับมาตรการส่งออกเหล่านี้จะเพิ่มความกดดันทางการเมืองภายในประเทศต่อทรัมป์ หากการเติบโตของอเมริกาตกต่ำลงเนื่องจากบริษัทต่างๆ ไม่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้แรร์เอิร์ธเป็นส่วนประกอบ
หลายปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า จีนเป็นศัตรูทางภูมิรัฐศาสตร์สำคัญ และเป็นประเทศเดียวในโลกที่สามารถท้าทายอเมริกาทั้งทางเศรษฐกิจและการทหาร