xs
xsm
sm
md
lg

“คนรุ่นใหม่” ไม่เน้นเรียนสูง การศึกษาไม่ตอบโจทย์ชีวิต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



จริงหรือไม่? เพราะการศึกษาไม่ตอบโจทย์ชีวิตทำให้คนรุ่นใหม่จากทั่วโลกไม่เลือกเรียนต่อระดับสูงในยุคที่ค่าครองชีพแพง ขณะที่เด็กไทยเติบโตท่ามกลางความกังวลทั้งด้านคุณภาพการเรียน พร้อมคำถามสร้างความปริวิตกว่าจบไปจะมีงานทำหรือเปล่า? อีกทั้งสถานการณ์บัณฑิตจบใหม่ตกงานสะสมเพิ่มขึ้นทุกปี

รายงานการสำรวจของ Deloitte หัวข้อDeloitte Gen Z & Millennial Survey 2025 : เจาะเทรนด์คนทำงานรุ่นใหม่เปิดเผยอย่างน่าสนใจว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการเรียนศึกษาต่อในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก แต่มีเหตุผลชัดเจนที่ทำให้คนรุ่นใหม่Gen Z และ Gen Yเลือกไม่เรียนต่อในระดับบัณฑิตศึกษา (Post-Bachelor's Degree) เพราะกังวลถึงคุณภาพการเรียน และค่าใช้จ่ายในระบบการศึกษาในปัจจุบัน

ทั้งนี้ Deloitte ได้สำรวจความคิดเห็นคนรุ่นใหม่ทั่วโลกกว่า 23,500 คน ใน 44 ประเทศ ซึ่งรวมถึงกลุ่มตัวอย่าง คนไทย 330 คน (โดยแบ่งเป็น Gen Z 209 คน และ Gen Y 121 คน) พบว่าจำนวนครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามตอบตรงกันเกี่ยวกับประเด็น ความกังวลของคนรุ่นใหม่ในประเทศไทยที่มีต่อระบบการศึกษา โดยมุ่งไปที่ด้านคุณภาพการศึกษาและค่าใช้จ่ายในการเรียนสูง รองลงมาคือเรื่องของโอกาสในการได้รับประสบการณ์จริงที่จำกัด ความสอดคล้องของหลักสูตรกับความต้องการของตลาดแรงงาน และทางเลือกการเรียนรู้ที่ยังขาดความยืดหยุ่น

กล่าวสำหรับประเทศไทยกลุ่มตัวอย่างที่เลือกไม่เรียนต่อสะท้อนถึงบริบททางสังคมและเศรษฐกิจ ประกอบด้วย

1. สถานการณ์ส่วนตัว/ครอบครัว เป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดสำหรับ Gen Z ถึง 50% และ Gen Y 38% ซึ่งสอดคล้องกับการที่สถานการณ์ครอบครัวเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คนรุ่นใหม่มีความเครียด โดยเฉพาะ Gen Y ที่มีความกังวลสูงเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของสมาชิกในครอบครัว อาจเนื่องจากต้องดูแลทั้งพ่อแม่และลูกเล็กไปพร้อมกัน

2. ข้อจำกัดด้านการเงิน ทุนทรัพย์ ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับ Gen Z 44% และ Gen Y 38% ปัญหานี้เชื่อมโยงโดยตรงกับความกังวลเรื่องค่าครองชีพ ซึ่งเป็นประเด็นที่หลอกหลอนคนรุ่นใหม่ไทยอย่างต่อเนื่อง

3. ต้องการความยืดหยุ่นและเรียนรู้ด้วยตัวเอง พบว่า Gen Z 32% และ Gen Y 38% อยากเลือกการเรียนรู้รูปแบบอื่นๆ ด้วยตัวเอง เช่น ลงคอร์สเรียนทักษะเฉพาะทางต่างๆ ซึ่งสะท้อนถึงลักษณะการทำงานของคนรุ่นใหม่มากกว่า โดยเฉพาะ Gen Z ที่มีรูปแบบงานหลากหลาย ทั้งงานประจำ Part-time หรือ Freelance การเรียนแบบเดิมๆ ที่ไม่ยืดหยุ่นอาจไม่ตอบโจทย์วิถีชีวิตและการทำงานของพวกเขา

4. วางแผนทำธุรกิจเอง พบว่าพวกเขาอยากทำธุรกิจมากกว่าจะเรียนต่อ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการเรียนรู้เพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองที่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่คนรุ่นใหม่ชอบเปลี่ยนงาน โดยเฉพาะ Gen Z อยากวางแผนทำธุรกิจมากกว่า Gen Y เนื่องจาก Gen Z มองว่าตนเองยังมีโอกาสในการค้นหาและเริ่มต้นใหม่ได้มากกว่า

และ 5. กลัวจ่ายหนี้กู้ยืมการศึกษาไม่ไหว เป็นเหตุผลให้คนไทยส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องรายได้ไม่สมดุลกับรายจ่าย และไม่มีเงินเก็บ โดยให้ความสำคัญกับปัญหาการเงินระยะสั้นมากกว่าระยะยาว ดังนั้น หนี้กู้ยืมการศึกษาเป็นอีกหนึ่งความกังวลที่ทำให้พวกเลือกไม่เรียนต่อ

แม้คนรุ่นใหม่ของไทยมองว่าการศึกษาในระดับสูงยังมีความสำคัญ แต่การตัดสินใจก็ถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจ ปัญหาส่วนตัว และความคาดหวังต่อรูปแบบการเรียนรู้ที่เปลี่ยนไป ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพการศึกษา ความยืดหยุ่นของระบบการศึกษา และค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ ข้อมูลที่สนใจอ้างอิงงานวิจัยจาก Harvard Business Schoolเปิดเผยรายงานระบุว่า 6 ใน 10 บริษัทในสายการศึกษาและสุขภาพไม่ได้มองใบปริญญาเป็นตัวชี้วัดผลงานอีกต่อไป โดยมีรายงานหลายชิ้นชี้ชัดว่าผู้บริหารยุคใหม่มากถึง 81% ให้ความสำคัญกับทักษะจริงของผู้สมัครงานมากกว่าใบปริญญาหรือวุฒิการศึกษา บริษัทเหล่านี้ต้องการคนที่มีประสบการณ์การใช้ชีวิตมากกว่าแค่เรียนเก่ง อาทิ มีพอร์ตงานแสดงโปรเจ็กต์ว่าทำอะไรมาบ้าง มีใบรับรอง (Certificate) ตรงสายงาน เป็นต้น

ตรงนี้ ต่างจากในอดีตที่ค่านิยมในการศึกษาเล่าเรียนๆ ดำเนินไปในท่วงทำนอง“ตั้งใจเรียนนะลูก โตขึ้นไปจะได้เป็นเจ้าคนนายคน”, “เรียนจบสูงๆ จะได้ประสบความสำเร็จในชีวิต”ฯลฯ เพราะเชื่อว่าความสำเร็จทางการเรียนเป็นเครื่องมือช่วยเลื่อนระดับทางชนชั้น

แน่นอนว่า ปัจจุบันการเรียนจบในระดับการศึกษาสูงๆ ไม่ได้การันตีความสำเร็จทางสังคม ปริญญาไม่สามารถการันตีอนาคต และในปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤตปัญหา“คนรุ่นใหม่ไร้งาน”หรือเรียกว่า “NEETs” (Not in Education, Employment, or Training)โดยเป็นผลมาจากระบบการศึกษาที่ไม่ตอบโจทย์กับตลาดแรงงานที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป

นายปีเตอร์ ฮิตเชนส์ นักวิเคราะห์การเมืองและนักข่าวของอังกฤษ วิพากษ์ถึงสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นว่าเป็นหายนะ เพราะมหาวิทยาลัยกำลังผลิตปริญญาที่ไม่มีมูลค่าในตลาดแรงงาน คนหนุ่มสาวจำนวนมากถูกส่งไปเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อให้ได้ปริญญาที่ไม่มีความหมายอะไรเลย

ยกตัวอย่าง อุตสาหกรรมบางประเภทอย่างการแพทย์ซึ่งมีตำแหน่งงานรองรับ โดยเฉพาะอาชีพผู้ช่วยดูแลสุขภาพและพยาบาล ซึ่งคาดว่าจะมีตำแหน่งใหม่เพิ่มขึ้นกว่าล้านตำแหน่งในทศวรรษหน้า แต่บัณฑิตจำนวนมากบจากสาขาอื่นๆ บนเส้นทางอาชีพที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

อย่างไรก็ตาม ปฎิเสธไม่ได้ว่าการศึกษาคือโอกาสในการพัฒนาตนเองเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพียงแต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าการศึกษาไม่ตอบโจทย์ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ตลอดจนไม่รองรับความต้องการของตลาดแรงงาน จึงเกิดปรากฎการณ์ “คนรุ่นใหม่ไร้งาน” หรือ "NEETs” อันเป็นผลมาจากระบบการศึกษาที่ไม่ตอบโจทย์กับตลาดแรงงานที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก.
กำลังโหลดความคิดเห็น