หลังเอ้อระเหยลอยชายทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แถมให้สัมภาษณ์แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยต่างกับถ้อยทีอันแข็งกร้าวของ “พ่อลูกตระกูลฮุน” ในที่สุด “แพทองธาร ชินวัตร” ก็ออก “แถลงการณ์” ในนามของรัฐบาลไทยออกมาอย่างเป็นทางการ 2 ฉบับด้วยกัน
ทว่า ก็ยังเป็น “แถลงการณ์” ที่อ่อนปวกเปียกในสายตาของประชาชนคนไทยอยู่เหมือนเดิม
เหตุที่กล่าวเช่นนั้นก็เพราะเนื้อหาสาระของ “แถลงการณ์” ดำเนินไปแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่ได้แสดงถึงความเข้มแข็งว่า ประเทศไทย “พร้อมใช้กำลัง” หากฝ่ายกัมพูชายังคงไม่ถอยจากดินแดนของฝ่ายไทย ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติที่นานาอารยประเทศทำกัน ยังคงยึดมั่นถือมั่นที่จะเจรจากับฝ่ายกัมพูชาผ่านกลไกระดับทวิภาคีที่มีอยู่ระหว่างกัน เช่น JBC (การประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม) หรือ GBC (คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา) และ RBC (คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค) แถมยังขอพุ่งเป้าอยู่แค่ “ช่องบก” เท่านั้น
ต่างจากฝ่ายกัมพูชาที่ “สองพ่อลูกตระกูลฮุน” ฟาดเปรี้ยงอย่างไม่ยั้งไมตรี โดยกล่าวหาในท่วงทำนองที่ว่า “โจรสยาม” เข้ามายึดดินแดนของกัมพูชา
“ฮุน เซน” ประกาศชัดว่า พื้นที่พิพาทช่องบกเป็นดินแดนของกัมพูชา โดยอ้างว่าเป็นของกัมพูชามาตั้งแต่ก่อนการลงนาม MOU 43 พร้อมกล่าวว่า “ไม่มีประเทศใดในโลกที่ถูกขอให้ถอนทหารออกจากดินแดนของตนเอง สามเหลี่ยมมรกตรวมทั้งโรงเรียนที่นั่นเป็นของเรา ผมเคยไปเยี่ยมที่ตรงนั้นเป็นการส่วนตัว เขตแดนของเราไม่ได้อยู่แค่ตรงนั้น ผมเคยเข้าไปไกลกว่านั้นด้วย แล้วทำไมตอนนี้เราถึงถูกบอกให้ถอนทหาร นี่ไม่ใช่การปลุกปั่นให้โกรธกัน แต่เป็นการปกป้องอธิปไตยของชาติ และตอนนี้ เราจะได้เห็นชัดเจนว่าใครรักและปกป้องชาติอย่างแท้จริง”
ขณะที่ “ฮุน มาเนต” ระบุว่าเตรียมนำข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ 4 แห่ง ได้แก่ พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ “ศาลโลก” ซึ่งแปลไทยเป็นไทยคือ กัมพูชาเคลมว่า พื้นที่ทั้ง 4 แห่งเป็นดินแดนของพวกเขา ขณะที่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ไม่มีแม้แต่จะยืนยันอย่างเต็มปากเต็มคำว่า เป็นดินแดนในอธิปไตยของไทย
ยิ่งกรณี “ช่องบก” ที่ทหารกัมพูชาขุดคูเลตล้ำเข้ามาในดินแดนไทยกว่า 200 เมตร ยิ่งเห็นได้ชัดว่า รัฐบาลแพทองธาร“ไม่สนใจไยดี” ที่จะกำลังผลักดันออกไป ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นได้ชัดว่า ไม่เชื่อมั่นในสิ่งที่ “กองทัพภาคที่ 2” รายงานเข้ามา โดยในตอนแรกนายภูมิธรรมที่ลงพื้นที่ไปบริเวณเนิน 500 ช่องบกตอบคำถามเพียงแค่ว่า “ต้องเอาหลักฐานทางอากาศมาชี้แจงกันซึ่งจะตอบโจทย์ทุกอย่าง อยากให้รอ” และย้ำด้วยว่า “ขอให้ไปดูในเวที JBC”
แม้ต่อมาในภายหลัง นายภูมิธรรมก็ยอมรับว่า รุกเข้ามาจริง แต่ก็ออกตัวให้กัมพูชาว่า เป็น “NO MAN'S LAND” ซึ่งถ้าใครติดตามเรื่องนี้ก็จะพบว่า สอดคล้องกับสิ่งที่ “ทักษิณ” พูดเอาไว้เป๊ะ
“ธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล” ที่ติดตามเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องฟันธงเปรี้ยงลงไปว่า “นายภูมิธรรมจะต้องอธิบายว่า เขตพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา มีบริเวณที่ปลอดกรรมสิทธิ์ทั้งสองฝ่าย ที่ท่าน และอดีตนายกฯทักษิณ เรียกกันว่า “NO MAN'S LAND” นั้น เป็นไปตามข้อตกลงใด ใครเป็นผู้ให้ความเห็นชอบให้ผูกพันประเทศไทยเช่นนี้ ถ้าไม่มีแหล่งอ้างอิง ก็จะต้องถือว่า การกำหนดบริเวณที่ปลอดกรรมสิทธิ์ทั้งสองฝ่ายดังกล่าว โดยตัวท่านเองนั้น อาจจะเข้าข่ายเป็นการยกแผ่นดินไทยไปให้แก่กัมพูชา มีความผิดขนานหนัก”
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ กัมพูชายังได้มีการเสริมกำลังหลายจุด มีการปรับวางกำลังกระจายออกไปเป็นชั้นและเป็นระบบ พร้อมทั้งใช้โดรนบินลาดตระเวน “แนวต้านทหารไทยใหม่” ทั้งที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ช่องกร่าง ช่องปลดต่าง ฯลฯ อย่างต่อเนื่อง
แถมยังมีข่าวด้วยว่า ทหารกัมพูชาได้เริ่มสร้าง “สนามทุ่นระเบิดและวางเครื่องกีดขวางทางทหาร” หลายชนิดตามช่องทางที่คาดว่า ทหารไทยจะผ่าน อีกต่างหาก
คำถามแรกคือ ทำไม “รัฐบาลตระกูลชิน” ถึงได้มีท่าทีอันเป็น “มหามิตร” ต่อ “รัฐบาลตระกูลฮุน” เยี่ยงนี้
และคำถามที่สองก็คือ ทำไมกัมพูชาถึงเลือกที่จะใช้ช่องทางของ “ศาลโลก” กับไทย
แน่นอน จุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่าง “ตระกูลฮุน” กับ “ตระกูลชิน” ด้วยผลประโยชน์ที่ได้รับจากกัมพูชานั้นมหาศาลเกินกว่าจะยอมให้เกิดสงครามหรือตัดเยื่อใยที่มีต่อกันได้ ดังนั้น จึงต้องจับมือตระกูลฮุนและเครือข่ายอำนาจกัมพูชา กระทั่งถึงขั้นเรียกพี่เรียกน้อง และเอาใจใส่กันดุจเครือญาติ
หลังรัฐประหาร 2549 “ทักษิณ ชินวัตร” ใช้กัมพูชาเป็นฐานลี้ภัย โดย “ฮุน เซน” แต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจในปี 2552 และยังคงรักษามิตรภาพนี้มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยหลักฐานเชิงประจักษ์ก็อย่างเช่น การที่ทักษิณและยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ร่วมงานวันเกิดครบรอบ 71 ปีของฮุน เซน ในปี 2566 และการเยือนของฮุน เซน ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าของทักษิณในปี 2567 หลังทักษิณได้รับการพักโทษ
มิตรภาพนี้ขยายไปถึงครอบครัวผ่านการแต่งงานของ “ชยาภา วงศ์สวัสดิ์” ลูกสาวของเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (น้องสาวทักษิณ) กับ “ลีนาล นัม” ลูกชายนักการเมืองคนสนิทของฮุน เซน ในปี 2556 งานแต่งนี้มีแขกสำคัญ เช่น ยิ่งลักษณ์ และเตีย บันห์ รองนายกฯ กัมพูชา
นอกจากนั้น กัมพูชายังอำนวยความสะดวกให้กับบุคคลในตระกูลชินวัตร เช่น การเดินทางของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผ่านกัมพูชาในช่วงที่ต้องหลบหนีคดีในประเทศไทยเพื่อหลบหนีคำพิพากษาคดีจำนำข้าว และยังเป็นที่พักพิงของคนเสื้อแดงที่หลบหนีคดีมาตรา 112 จำนวนมาก ถึงขนาดคนเสื้อแดงเคยใช้แผ่นดินกัมพูชาเป็นที่ชุมนุม และแต่งเพลงสรรเสริญฮุน เซน
นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมรัฐบาลแพทองธารถึงไม่ตัดสินใจแม้กระทั่ง “ปิดพรมแดม” ตามข้อเสนอของฝ่ายทหาร
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ให้สัมภาษณ์ยอมรับถึงสายสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฮุนกับตระกูลชิน เอาไว้เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 อย่างหน้าชื่นตาบาน
“ความสัมพันธ์ในระดับผู้นำ ไม่เถียงเลยว่าเป็นมิตรกัน ซึ่งตนเองคิดว่า ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่เราจะมีเพื่อน อย่างสื่อที่ยืนกันข้างๆ ก็เป็นเพื่อนกันหรือเปล่า ทุกคนมีเพื่อนได้ ถ้าวันหนึ่งเพื่อนทะเลาะกัน หรือไม่เข้าใจกัน เราปรับความเข้าใจกัน มันคงจะเป็นเรื่องง่าย ถ้าเป็นด้านการค้า เราคุยกันตลอด สิ่งที่ทำกันตลอด ไม่ใช่แค่กัมพูชาเท่านั้น มาเลเซียก็ทำ ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนด้วย แต่ถามว่าถ้าเรามีปัญหาจริง ๆ ที่มันลึกซึ้ง วันนี้ทะเลาะกัน ฉันขอบ้านเธอได้ไหม มันไม่มีเพื่อนคนไหนที่จะให้ ความสัมพันธ์อันดีมีจริง วันที่เกิดเรื่อง ก็คุยกับนายกฯ กัมพูชา ว่าจะไม่มีความรุนแรง และก็ถอยจริง ๆ แต่เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น หน้างานก็จัดการกันในฐานะของหน้างาน”
พร้อมกับตอบคำถามกรณีท่าทีของ “ฮุน เซน” และ “ฮุน มาเนต” ที่ออกมาไม่สอดคล้องกับท่าทีของรัฐบาลไทย ด้วยว่า “เป็นสิ่งที่เราต้องยืนยันว่า ถ้าเขาออกมารุนแรงแล้ว เรารุนแรงกลับ ถามว่าสันติวิธีจะเกิดขึ้นไหม และแน่นอนว่าเราเตรียมรับมือ หากเลือกได้ เราเลือกสันติวิธี และวันนี้ยังเลือกได้”
ทันทีที่ “นางสาวแพทองธาร” ให้สัมภาษณ์เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบก็ดังกระหึ่มหนักเข้าไปอีก ยิ่งใครที่ได้ฟังเธอให้สัมภาษณ์ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยิ่งรับรู้ถึงการขาดวุฒิภาวะ และเห็นชัดเจนว่า เธอไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้
งานนี้ คนที่วิจารณ์ได้อย่างเจ็บแสบที่สุดเห็นที่จะหนีไม่พ้น “ไอซ์-รักชนก ศรีนอก” สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชนที่บอกว่า “กิริยาที่แพทองธารแสดงต่อสาธารณะวันนี้ ต้องบอกว่าเกินเยียวยาจริงๆ ไร้วุฒิภาวะสิ้นดี ดิฉันต้องบอกว่า อาย จริงๆที่มีคนแบบนี้เป็นผู้นำประเทศ”
แม้กระทั่ง “เจ๊ช่อ-น.ส.พรรณิการ์ วานิช” โฆษกคณะก้าวหน้า ยังอดรนทนไม่ได้โดยให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อฟังคำพูดของนายกรัฐมนตรี เป็นคำพูดที่น่าตกใจที่ยอมรับว่า ผู้นำไทยกับกัมพูชาเป็นเพื่อนกัน คำนี้ถ้าพูดกันในภาวะปกติไม่แปลก ผู้นำประเทศในไหนก็เป็นเพื่อนกันได้อยู่แล้ว เพียงแต่การพูดในสถานการณ์แบบนี้ นายกรัฐมนตรีอาจจะขาดความเข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองภายในกัมพูชา และคิดว่าอาจจะไร้เดียงสาทางการเมืองเกินไป ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าทางกัมพูชา จะนำไปต่อยอดหรือนำไปปั่นกระแส กันมากแค่ไหน
ส่วนกรณีที่ “สองพ่อลูกตระกูลฮุน” เลือกที่จะใช้ช่องทางศาลโลกนั้น ต้องบอกว่า ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ
ประการแรก เพราะฝ่ายกัมพูชารู้อยู่แก่ใจว่า สู้ด้วยกำลังไม่ได้ แม้ปัจจุบันจะมีอาวุธยุทโธปกรณ์สนับสนุนจากจีนมากมายก็ตามที
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ฝ่ายกัมพูชารู้ดีว่า ถึงจะห้าวเป้งและยั่วยวนชวนทะเลาะแค่ไหน แต่ฝ่ายไทยก็ไม่มีวันที่จะทำอะไรรุนแรงด้วยมั่นใจในมิตรภาพที่ดีกับ “ตระกูลชิน”
“วีระ สมความคิด” หนึ่งในนักเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่เคยติดคุกกัมพูชาเพราะปัญหาในเรื่องเขตแดน วิเคราะห์เอาไว้ว่าใจว่า “มันมองเอาแต่เม็ดเงิน เพราะมีคนไทยที่ไปลงทุนในเขมรเยอะ อันนี้ผมพูดตรงๆ เลยนะ เพราะเกาะติดเรื่องนี้มาตลอด ทั้งนักการเมือง ทหารชั้นผู้ใหญ่บางคนบอกว่าไม่อยากรบ ไม่ต้องการรบ เพราะถ้ารบกันแล้ว จะมีการสูญเสีย มีการบาดเจ็บล้มตาย เราจะไปรบกันทำไม ตอนนี้เราได้เปรียบดุลการค้ากับเขมรปีนึง 3-4 หมื่นล้าน มันมองเอาแต่เม็ดเงิน คุณทักษิณนี่ก็ไปลงทุนไม่ใช่น้อยนะ นักการเมืองไทยหลายคนไปลงทุนในเขมร นาย
ทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคนก็ไม่ลงทุนในเขมร เขากลัวกระทบกับผลประโยชน์ส่วนตัวของเขา แต่ไม่คิดถึงผลประโยชน์ของชาติ”
ต่างจากท่าทีที่ “ตระกูลฮุน” และรัฐบาลกัมพูชามีต่อ “เวียดนาม” เพราะเคยถูกเวียดนามส่งกำลังเข้ามายึดครองประเทศมาก่อน แถมควรต้องไม่ลืมว่า “ฮุนเซนเคยเป็นสมุนของเวียดนาม” มาก่อน
นอกจากนี้ จะเห็นว่า ในช่วงที่เกิดปัญหา “จีนเทา” และบรรดา “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” กับ “เมียนมาร์” รัฐบาลไทยมีเอาจริงเอาจังในการกำราบปราบปรามมากกว่า ขณะที่รู้อยู่เต็มอกว่า กัมพูชาถือเป็นดินแดนแห่ง “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ไม่แตกต่างจากเมียนมาร์ เผลอๆ จะมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป แต่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตรก็แตะเพียงผิวๆ แล้วก็ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไป
และในคราวที่เกิดปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ก็มีเสียงเรียกร้องให้รัฐบลแพทองธาร ชินวัตร ตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอินเตอร์เน็ต รวมถึงปิดด่านชายแดนทั้งหมด เพื่อกดดันรัฐบาลกัมพูชา ทว่า ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียกเลยแม้แต่น้อย
ทั้งนี้ มีรายงานว่า รายได้ที่รัฐบาลตระกูลฮุนได้จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์และแสกมเมอร์นั้น คิดเป็น 60% ของ GDP กัมพูชาเลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่รู้ว่า งานนี้มีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการแบ่งปันผลประโยชน์ก้อนนี้หรือไม่ อย่างไร
ประการที่สอง “สองพ่อลูกตระกูลฮุน” มีประสบการณ์อันดีกับศาลโลก และที่ผ่านมาก็เห็นได้ชัดว่า ศาลโลกไม่ได้ยุติธรรมกับไทย เพราะมีอำนาจมืดคอยช่วยกัมพูชาเอาไว้โดยแลกกับผลประโยชน์
“รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร” ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ วิเคราะห์ว่า สองครั้งที่ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่ศาลโลก ไทยเป็นฝ่ายแพ้คดีมาทั้งสองครั้ง อาจมองได้ว่าเป็นธรรมดาที่เจ้าอาณานิคมจะปกป้องลูกอาณานิคมของตัวเอง ซึ่งประวัติที่ผ่านมาไทยต้องเรียนรู้ว่า หลักฐานต่าง ๆ ที่ไทยส่งไปสู้คดี ศาลโลกไม่ได้หยิบมาพิจารณา ขณะที่รอบนี้เมื่อพิจารณาท่าที ฝ่ายกัมพูชาดูมั่นใจผิดปกติ
ทั้งนี้ นโยบาย “หอกสามง่าม” ของกัมพูชาค่อนข้างมีพลังมาก ง่ามหนึ่งคือ ผู้นำของเขา วางตัวด้วยท่าทีแบบนักการทูต ไม่สุดโต่งและไม่ก้าวร้าว อีกง่ามหนึ่งคือ ยุทธศาสตร์ทางทหารในเชิงรุกก็ขับเคลื่อนเต็มที่ และง่ามสุดท้าย คือ ท่าทีปรองดอง รอมชอม ยอมที่จะเข้าสู่พื้นที่การเจรจา ซึ่งทั้งสามง่ามเขาทำได้ดี และมีผู้ถือหอกคนเดียวทั้งองคาพยพจึงขยับไปพร้อมกัน ซึ่งต่างจากของไทย ที่ต่างฝ่ายต่างถือกันคนละง่าม
ด้าน “รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช” นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา อาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแสดงความเห็นว่า รัฐไทยควรมียุทธศาสตร์โต้กลับกัมพูชาอย่างจริงจังและสู้กลับอย่างมีชั้นเชิง ด้วยเห็นกันชัดแล้วว่า สิ่งที่กัมพูชากำลังดำเนินการ ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนทั่วๆไป แต่เป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้า และเป็นการเสริมสร้างยุทธศาสตร์กดดันไทยในหลายมิติ กล่าวคือ กัมพูชาใช้เครื่องมือสารพัดชนิด ทั้งการทูต กฎหมายและปฏิบัติการทางวัฒนธรรมเพื่อรุกคืบผนวกดินแดนไทยหรือเปิดแนวรบหลายช่องทางเพื่อให้รัฐกัมพูชาได้อาณาเขตเพิ่ม นับเป็นเป้าหมายสูงสุดของรัฐบาลฮุน เซน – ฮุน มาเนต
ทั้งนี้ รัฐบาลพนมเปญ มุ่งหวังให้กัมพูชามีอำนาจรัฐเพิ่มขึ้น การได้ดินแดนเพิ่มและการเอาชนะไทยไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด จะทำให้พรรคประชาชนกัมพูชามีคะแนนนิยมพุ่งสูงขึ้นและก็ทำให้อำนาจรัฐกัมพูชาเติบใหญ่สยายปีก
รศ.ดร.ดุลยภาคมีความเห็นด้วยว่า การที่ฮุน เซน อ้างกรรมสิทธิ์ว่าช่องบกและสามเหลี่ยมมรกตเป็นของกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียว ถือเป็นมุมมองที่เป็นอันตรายยิ่งต่อการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับเพื่อนบ้าน เพราะสามเหลี่ยมมรกตในส่วนที่เป็นดินแดนของไทย ประเทศไทยก็ได้ครอบครองโดยเปิดเผย สันติและต่อเนื่องมานานแล้ว แถมบริเวณแถบนั้นยังเป็นพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจร่วมที่ติดกับประเทศลาว การที่ ฮุน เซน มุ่งเจตนาหมายมั่นจะให้สามเหลี่ยมมรกตเป็นเขตครอบครองของกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียว จึงกระทบต่อลาวและกิจกรรมพัฒนาเศรษฐกิจในอินโดจีนโดยรวมด้วย
ประเด็นที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ ในขณะที่รัฐบาลไทย ทั้งตัวนายภูมิธรรมและนางสาวแพทองธาร มุ่งเน้นที่จะใช้เวที JBC ในการเจรจากับรัฐบาลกัมพูชาที่มีกำหนดนัดหมายกันวันที่ 14 มิถุนายนนี้ที่กรุงพนมเปญ แต่ในฝากของกัมพูชา “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรี ประกาศขานรับของ “ฮุน เซน” ผู้เป็นพ่อว่า จะไม่ร่วมเจรจาทวิภาคีกับไทยในการประชุม JBC หากแต่ย้ำจุดยืนกัมพูชาที่ไม่เปลี่ยนแปลง จะนำเรื่องพิพาทชายแดนทั้งที่ช่องบก บริเวณชายแดนอ.น้ำยืน อุบลฯ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ที่อยู่ทางตะวันตกของช่องบกเป็นระยะทางกว่า 200 กม.ไปให้ศาลโลกพิจารณา
แถลงการณ์ฉบับล่าสุดของรัฐบาลฮุน มาเนต เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนก็คือ จะไม่นำ 4 พื้นที่เข้าคุยในเวที JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ แต่จะเดินหน้าในช่องทาง “ศาลโลก” อย่างเดียวและพร้อมที่จะดำเนินการอย่างเป็นอิสระเพียงฝ่ายเดียวเช่นกัน
จากนั้นในวันที่ 5 มิถุนายน ก็มีรายงานข่าวว่า พล.ร.ท.เตีย โซะคา ผู้บัญชาการทหารเรือกัมพูชา (ผบ.ทร.กพช.) ได้โพสต์ข้อมูลแจ้งการฝึกทางทะเล โดยซ้อมยิงกระสุนจริง ห้วงวันที่ 11 -13 มิ.ย.68 บริเวณ เกาะปูลูไว เกาะตัง ซึ่งอยู่ในพื้นที่เกาะพระสีหนุ ตามประกาศของกองทัพเรือกัมพูชา ลงวันที่ 3 มิ.ย.68
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตุว่า กองทัพเรือกัมพูชางดการฝึกยิงด้วยการยิงกระสุนจริง 2 ปีแล้ว โดยคาดว่าการฝึกครั้งนี้ เป็นแผนการฝึกที่วางไว้ต่อเนื่องจากการฝึก ‘โกลเด้น ดราก้อน’ ซึ่งปัจจุบัน เรือรบจีน 2 ลำ จอดที่ฐานทัพเรือเรียมเมื่อกลางปี 67 แล้วมีการออกไปฝึกในพื้นที่ทางทะเลของกัมพูชามาตลอด
นี่คือเกมของกัมพูชาที่เหนือว่าไทยในทุกมิติ ซึ่งคนไทยสัมผัสได้
ดังนั้น คงสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า สายสัมพันธ์ระหว่าง “ตระกูลฮุน” กับ “ตระกูลชิน” นั้นเป็นคอนเนกชั่นที่ “เหนือประเทศชาติ” จนทำให้รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตรมีสภาพเป็น “รัฐล้มเหลว อย่างที่เห็น