ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย บอกกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันพุธ (4 มิ.ย.) ว่า รัสเซียจำเป็นต้อง "ตอบโต้" กรณียูเครนลักลอบส่งโดรนเข้าไปโจมตีฝูงบินทิ้งระเบิดศักยภาพติดหัวรบนิวเคลียร์ของมอสโก และยังพยายามระเบิดทำลายสะพานเชื่อมแหลมไครเมียด้วย
สงครามในยูเครนกลับมาเพิ่มดีกรีความร้อนอีกครั้งในช่วงนี้ หลังจากที่มีความพยายามทั้งปลอบทั้งขู่จากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ตลอดช่วงเกือบ 4 เดือนที่ผ่านมา
ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำว่า ตนต้องการเห็นสันติภาพ หลังจากรัสเซีย-ยูเครนเปิดศึกสู้รบกันมานานกว่า 3 ปี ซึ่งถือเป็นสงครามนองเลือดที่สุดของยุโรปในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
หลังยูเครนลักลอบระเบิดสะพาน และโจมตีฝูงบินทิ้งระเบิดของรัสเซียที่อยู่ลึกเข้าไปถึงไซบีเรียและภูมิภาคทางตอนเหนือสุดของแดนหมีขาว ปูติน ได้ประกาศกร้าวในวันพุธ (4 มิ.ย.) ว่า ตนไม่คิดว่าพวกผู้นำเคียฟต้องการสันติภาพ
ภายหลังจากที่ ปูติน หารือมาตรการตอบโต้กับพวกรัฐมนตรีระดับสูงในมอสโกได้ไม่นาน ทรัมป์ ก็ประกาศว่าตนได้พูดคุยโทรศัพท์กับผู้นำรัสเซียเป็นเวลา 1 ชั่วโมงกับอีก 15 นาที โดยพูดคุยกันทั้งเรื่องปฏิบัติการโจมตีของยูเครน และปัญหาอิหร่าน
"เราคุยกันเรื่องที่ยูเครนโจมตีเครื่องบินทิ้งระเบิดของรัสเซีย และการโจมตีอีกหลายจุดที่กระทำโดยทั้ง 2 ฝ่าย มันเป็นบทสนทนาที่ดี แต่ยังไม่ใช่บทสนทนาที่จะนำไปสู่สันติภาพในทันที" ทรัมป์ โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย
"ประธานาธิบดี ปูติน กล่าวอย่างชัดเจนและหนักแน่นมากๆ ว่า เขาจำเป็นจะต้องตอบโต้การโจมตีฐานทัพอากาศรัสเซียที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้"
อย่างไรก็ดี ทรัมป์ แสดงความคาดหวังว่า ปูติน จะมีส่วนช่วยในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านเพื่อยุติโครงการนิวเคลียร์ของเตหะราน และบอกด้วยว่าตนเชื่อว่า ปูติน "เห็นด้วย" กับวอชิงตันว่าอิหร่าน "จะครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ไม่ได้"
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ แสดงท่าทีเงียบเฉยไม่พูดอะไรเรื่องที่ยูเครนเปิด "ปฏิบัติการใยแมงมุม" ส่งโดรนไปถล่มเครื่องบินทิ้งระเบิดรัสเซียพังเสียหายไปหลายสิบลำ โดยฝูงบินทิ้งระเบิดนั้นถือเป็น 1 ใน 3 เสาหลักคลังแสงนิวเคลียร์ของรัสเซีย
ทำเนียบเครมลินแถลงว่า ทรัมป์ ยืนยันกับ ปูติน ว่าสหรัฐฯ ไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าจากฝ่ายยูเครน ขณะที่ผู้แทนของ ทรัมป์ ฝ่ายกิจการยูเครนก็เตือนว่า ปฏิบัติการครั้งนี้กระพือความเสี่ยงที่สงครามจะถูกยกระดับรุนแรงขึ้น
รัสเซียและสหรัฐฯ ถือเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์เบอร์ 1 และ 2 ของโลก โดยมีอาวุธนิวเคลียร์คิดเป็น 88% ของทั้งโลกรวมกัน
แต่ละฝ่ายต่างมีคลังสรรพาวุธด้านนิวเคลียร์ 3 ทาง ได้แก่ เครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ ขีปนาวุธข้ามทวีปที่ยิงจากพื้นดิน และขีปนาวุธยิงจากเรือดำน้ำ ซึ่งการพุ่งเป้าโจมตีไปยังส่วนใดส่วนหนึ่งใน 3 อย่างนี้จะถือว่าเป็นการกระพือความขัดแย้งที่รุนแรง
ที่มา: รอยเตอร์