เชียงใหม่-มช.เตือนภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังพบเ นศ.ตกเป็นเหยื่อพร้อมๆ กันจำนวนมาก ถูกหลอกโอนเงินมูลค่าเสียหายรวมหลายล้านบาท ขณะที่ ผกก.สภ.ภูพิงค์ฯ เผย แค่ช่วงวันหยุดยาวนี้มี นศ.ตกเป็นเหยื่อ 10 ราย และถูกหลอกสำเร็จ 9 ราย โดยรายที่โดนหนักสุดสูญเสียเงินไปกว่า 2 ล้านบาท เบื้องต้นรับแจ้งความและเร่งให้การช่วยเหลือเต็มที่ ด้านแม่ของเหยื่อที่ถูกหลอกโอนเงินไปกว่า 2 ล้านบาท ครวญเดือดร้อนหนัก หมดเกลี้ยงเงินทำธุรกิจแถมเป็นหนี้สิน กังวลใจคดีไม่คืบหน้า หลังแกะรอยพบเจ้าของบัญชีรับโอนเงินและโทรไปคุย กลับถูกเย้ยจะรอหมายเรียก
รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า ตั้งแต่วานนี้(3 มิ.ย.68) เฟซบุ๊กของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์เตือนภัยมิจฉาชีพ หลังพบว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีนักศึกษาของมหาวิทยาลัยหลายรายที่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และถูกหลอกให้โอนเงิน รวมมูลค่าความเสียหายหลายล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นเฉพาะวันที่ 3 มิ.ย.68 มีผู้เสียหายอย่างน้อย 6 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งผู้เสียหายบางรายให้ข้อมูลว่าเหมือนถูกสะกดจิตจนทำตามคำสั่งและตกเป็นเหยื่อ โดยจากการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวที่สถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ พบว่ากรณีที่มีการเตือนภัยมิจฉาชีพ เนื่องจากมีนักศึกษาที่ตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นจำนวนมากนั้น เป็นเรื่องจริง โดยในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีนักศึกษาที่ตกเป็นผู้เสียหายนับสิบราย ซึ่งรายล่าสุดเป็นนักศึกษาชายที่ถูกหลอกให้โอนเงินไปรวมทั้งสิ้นกว่า 2 ล้านบาท
ทั้งนี้พันตำรวจเอกมนัสชัย อินทร์เถื่อน ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรภูพิงคพระราชนิเวศน์ เปิดเผยว่า ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงวันหยุดยาว ปรากฏว่ามีนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพรวม 10 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มิจฉาชีพก่อเหตุสำเร็จ 9 ราย ทำให้เหยื่อหลงเชื่อแล้วโอนเงินให้มูลค่าความเสียหายรวมหลายล้านบาท ทั้งนี้ 1 รายที่รอดพ้นการตกเป็นเหยื่อนั้น เป็นนักศึกษาผู้หญิงที่ถูกมิจฉาชีพหลอกด้วยการให้สวมหูฟังพูดคุยโทรศัพท์และทำตามที่สั่งการให้ถือมีดมาที่สถานีตำรวจเพื่อสร้างสถานการณ์ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสังเกตเห็นความผิดปกติและช่วยเหลือเอาไว้ได้ ส่วนผู้เสียหายรายล่าสุดเมื่อวานนี้(3 มิ.ย.68) เป็นนักศึกษาชายชั้นปีที่ 2 ที่ถูกหลอกให้โอนเงินไป 4 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 2 ล้านบาท ขณะที่ก่อนหน้ามีนักศึกษาอีกรายหนึ่ง พี่ถูกหลอกโอนเงินไปรวมกว่า 1 ล้านบาท
ขณะเดียวกันผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ บอกด้วยว่า สำหรับผู้เสียหายทั้ง 9 ราย พบว่าเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 5 ราย และอีก 4 ราย ที่ถูกหลอกด้วยกลอุบายต่างๆ เช่น มิจฉาชีพอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐข่มขู่ว่าผู้เสียหายกระทำผิดกฎหมาย หรือ ข่มขู่ปล่อยคลิปลับแล้วให้วิดีโอคอลแล้วถอดเสื้อผ้าโดยมิจฉาชีพบันทึกภาพเอาไว้ข่มขู่ซ้ำและบังคับให้โอนเงิน หรือ หลอกว่านักศึกษาได้รับทุน แต่จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ จนหลงเชื่อยอมโอนเงินที่ตัวเองมีให้ทั้งหมด และยังขอจากผู้ปกครองมาโอนให้เพิ่มด้วย ซึ่งเฉพาะวานนี้(3 มิ.ย.68) พบว่ามีผู้เสียหายที่เป็นนักศึกษาเข้าแจ้งความพร้อมกันเป็นจำนวนมากในวันเดียว แต่ละรายเสียหายตั้งแต่หลักพันและหลักหมื่น ไปจนถึงหลักล้าน ทั้งนี้ตัวเองเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ จึงได้รีบทำการแจ้งไปยังทางมหาวิทยาลัย เพื่อเร่งแจ้งเตือนภัยโดยด่วนป้องกันไม่ให้มีผู้เสียหายเพิ่มมากขึ้นไปอีก พร้อมเน้นย้ำทุกคนให้ระมัดระวังตัวและมีสติเพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อ ส่วนเรื่องการดำเนินคดีและให้การช่วยเหลือผู้เสียหายนั้น เบื้องต้นได้รับแจ้งความพร้อมทำการอายัดบัญชีที่รับโอนเงินจากเหยื่อ พร้อม เร่งให้การช่วยเหลือในทุกด้านอย่างเต็มที่
สำหรับกรณีนักศึกษาผู้หญิงที่ถือมีดเข้ามาที่สถานีตำรวจนั้น ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ บอกว่า กรณีนี้มิจฉาชีพทราบว่าไม่ทราบเหยื่อไม่มีเงินที่จะโอนให้หลังจากที่พยายามต่อเนื่อง 2 วัน จึงตั้งใจปั่นหัวเหยื่อและเย้ยการทำงานของตำรวจ ด้วยการให้เหยื่อสวมใส่หัวฟังพูดคุยโทรศัพท์กันตลอดเวลาและถือมีดเข้ามาที่สถานีตำรวจ พร้อมกระทำการต่างๆ ตามที่มิจฉาชีพสั่งการ จนสุดท้ายเข้ามานั่งหน้าโต๊ะทำงานของร้อยเวร ซึ่งเจ้าหน้าที่สังเกตเห็นความผิดปกติ จึงเกลี่ยกล่อมให้วางมีดลง และวางสายโทรศัพท์ พร้อมพูดคุยด้วยจนเหยื่อรู้ตัวว่าโดนหลอก โดยทั้งหมดนั้นเป็นกลวิธีของมิจฉาชีพที่สร้างสถานการณ์ พร้อมทั้งข่มขู่และจูงใจต่างๆ นานา เพื่อให้เหยื่อทำตาม ไม่ได้เป็นการสะกดจิตแต่อย่างใด ซึ่งอยากเตือนภัยให้ทุกคนระมัดระวังและอย่าหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อหากพบเจอสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้
ทางด้านนางสาวบี(นามสมมุติ) แม่ของนักศึกษาคณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็น นักศึกษาชายที่ถูกหลอกโอนเงินไปกว่า 2 ล้านบาท เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า ตอนนี้รีบมาอยู่กับลูกชายเพราะห่วงว่าอยู่ในอาการเครียดหลังครอบครัวรู้ว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก เพราะช่วง 2 วันที่ลูกชายต้องเปิดไลน์ และกล้องคุยอยู่กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อ้างเป็นตำรวจไว้ตลอดเวลา โดยมีการหลอกลวงลูกชายว่ามีการใช้เบอร์โทรศัพท์ของค่ายมือถือค่ายหนึ่งไปใช้ผิดกฎหมาย และต้องทำการตรวจสอบทรัพย์สินด้วยการโอนเงินไปให้ตรวจสอบให้ครบจำนวน พร้อมได้ให้ลูกชายหลอกทางบ้านว่าต้องการเงินเพื่อเดินบัญชีธนาคาร เพื่อจะไปดูงานที่ต่างประเทศ โดยมีการบอกบทพูด และเอกสารที่ปลอมแปลงว่าออกมาจากคณะ และทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แนบมาพร้อม ก่อนที่ส่งเรื่องให้มิจฉาชีพอีกคนที่สวมบทเป็นเจ้าหน้าที่ของทางมหาวิทยาลัย ต่อสายคุยกับครอบครัว และให้ดำเนินการเรื่องของการโอนเงินเพื่อให้ลูกชายได้ไปดูงาน
ทั้งนี้ทางครอบครัวหลงเชื่อเพราะมีทั้งชื่อ เอกสารจากทางมหาวิยาลัย พร้อมลายเซ็นอธิการบดี จึงได้โอนเงินไป 4 ครั้ง รวมกว่า 2 ล้านบาท โดยครั้งแรกเป็นเงินโอดีที่ทางครอบครัวกู้มาค้าขาย และสองครั้งสุดท้ายเป็นเงินที่ไปกู้ยืมมาเพื่อโอนให้ครบ แต่พอโอนครั้งที่ 4 ไปแล้ว พบว่าการติดต่อต่างๆ ทั้งไลน์ ทั้งมือถือ ถูกตัดขาดทั้งหมด และช่วงของการดำเนินการต่างๆ นั้น ตัวเอง และลูกชายไม่สามารถติดต่อกันได้เพราะทางฝั่งลูกชายถูกขู่ไม่ให้ติดต่อกัน จนกระทั่งโอนเงินสำเร็จจึงสามารถติดต่อกันได้ และรู้ในที่สุดว่าถูกหลอกแล้ว โดยตอนนี้ครอบครัวนอกจากสูญเงินทั้งหมดของครอบครัวแล้ว ยังเป็นหนี้ที่ต้องไปยืมเงินมาเพื่อโอนไปให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกมากกว่า 1 ล้านบาท
ล่าสุดเมื่อเข้าแจ้งความกับตำรวจแล้ว ฝ่ายของพ่อนักศึกษารายนี้ได้ขอให้ญาติที่ทำงานธนาคารช่วยตรวจสอบว่าบัญชีแรกที่รับโอนเงินเป็นของผู้ใด ซึ่งทราบว่าเจ้าของบัญชีคือนายคมสันต์ นารี พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ จึงนำส่งมอบให้ตำรวจ อย่างไรก็ตามได้รับแจ้งว่าต้องรอดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอนกฎหมาย ทั้งๆ ที่ตัวเองได้โทรศัพท์หานายคมสันต์ ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทางนายคมสันต์ แสดงท่าทีว่ารับรู้อยู่แล้ว และบอกว่าจะรอหมายเรียกจากทางตำรวจ ขณะที่จากการตรวจสอบประวัติของนายคมสันต์ พบว่า มีประวัติเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดพนันออนไลน์ และพบว่าเงินจำนวน 500,000 บาท ที่โอนไปที่บัญชีนายคมสันต์ นั้น มีการโอนออกไปเข้าบัญชีทรูมันนี่ ครั้งละ 4,000-5,000 บาท จนหมดบัญชี ทั้งนี้อยากวิงวอนให้เจ้าหน้าที่วตำรวจเร่งดำเนินการตามกฎหมายและช่วยติดตามเงินคืนกลับมา เพราะเป็นห่วงว่าคดีความจะมีความล่าช้า