สหราชอาณาจักรแถลงในวันจันทร์(2เม.ย.) จะสร้างเรือดำน้ำโจมตีใหม่ 12 ลำ ระหว่างเผยแพร่รายงานการทบทวนนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศ ในความเคลื่อนไหวสร้างความพร้อมในการสู้รบทำสงคราม รับมือความร้าวก้าวของรัสเซียและลักษณะความขัดแย้งที่เปลี่ยนแปลงไป
เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เตือนว่า "ภัยคุกคามที่เราเผชิญอยู่ในตอนนี้ มีความร้ายแรงมากกว่า ปัจจุบันทันด่วนมากกว่าและคาดเดาไม่ได้มากกว่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาไหนๆนับตั้งแต่สงครามเย็น" เขากล่าวระหว่างแถลงรายงานการทบทวนนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศ
"เราเผชิญสงครามในยุโรป ความเสี่ยงทางนิวเคลียร์ครั้งใหม่ การโจมตีทางไซเบอร์แบบรายวัน ความก้าวร้าวของรัสเซียเพิ่มมากขึ้นในน่านน้ำต่างๆของเรา คุกคามน่านฟ้าของเรา"เขากล่าว
รายงานการทบทวนนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งประเมินภัยคุกคามต่างๆที่สหราชอาณาจักรกำลังเผชิญ และจัดทำคำแนะนำต่างๆ ระบุว่าสหราชอาณาจักรกำลังเข้าสู่ "ยุคสมัยใหม่แห่งภัยคุกคาม" และ สตาร์เมอร์ บอกว่าผลลัพธ์ก็คือ รัฐบาลของเขาเล็งเป้าหมายปรับเปลี่ยนเชิงรากฐาน 3 อย่าง
"อย่างแรกคือ เรากำลังมุ่งหน้าสู่การเตรียมพร้อมสู้รบทำสงคราม ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของกองทัพของเรา ทุกภาคส่วนของสังคม พลเมืองทุกคนของประเทศแห่งนี้ จำเป็นต้องมีบทบาท เพราะเราจำเป็นต้องตระหนักว่าสิ่งต่างๆในโลกได้เปลี่ยนไปแล้วในวันนี้ เวลานี้แนวหน้าอยู่ที่นี่"
นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรกล่าวต่อว่า "อย่างที่ 2 คือ นโยบายป้องกันตนเองของสหราชอาณาจักร จะให้ความสำคัญกับนาโตก่อนเป็นลำดับแรกเสมอ และท้ายที่สุดแล้ว สหราชอาณาจักรจะปรับโฉมและเร่งการปรับโหม เสมือนกับการทำงานในภาวะสงคราม เพื่อที่เราจะสามารถรับมือกับภัยคุกคามได้ตั้งแต่วันนี้หรือพรุ่งนี้เลย"
ระหว่งกล่าวอภิปรายต่อรัฐสภาในช่วงเย็นวันจันทร์(2มิ.ย.) จอห์น ฮีลีย์ รัฐมนตรีกลาโหมสหราชอาณาจักร บอกว่าโลกได้เข้าสู่ยุคสมัยใหม่แล้ว และประกาศทำให้กองทัพสหราชอาณาจักรมีอานุภาพทำลายล้างเพิ่มขึ้น 10 เท่า ด้วยการรวมเทคโนโลยีโดรนในอนาคตกับปัญญาประดิษฐ์ เข้ากับ "รถถังเหล็กหนักและปืนใหญ่"
เขาระบุว่า "เราเผชิญสงครามในยุโรป ความก้าวร้าวมากขึ้นของรัสเซีย ความเสี่ยงทางนิวเคลียร์ครั้งใหม่และการโจมตีทางไซเบอร์แบบรายวัน ภายในประเทศ ศัตรูของเรากำลังทำงานกันเป็นแนวร่วมมากขึ้นร่วมกับอีกฝ่าย ด้วยเนคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแนวทางสู้รบในสงคราม เรากำลังอยู่ในยุคสมัยใหม่แห่งภัยคุกคาม"
สหราชอาณาจักรเร่งยกระดับติดอาวุธในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากรัสเซีย และความกังวลว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะไม่ช่วยเหลือปกป้องยุโรปอีกต่อไป
รัฐบาลของสตาร์เมอร์ ประกาศในเดือนกุมภาพันธ์ ว่าจะยกระดับการใช้จ่ายด้านกลาโหมสู่ระดับ 2.5% ของจีดีพีภายในปี 2027 ซึ่งถือเป็นการปรับเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันตนเองมากที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น
แม้มีข้อจำกัดงบประมาณ รัฐบาลของสตาร์เมอร์ วางเป้าหมายใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3% ของจีดีพี ในสมัยการทำหน้าที่ของรัฐสภาชุดถัดไป ซึ่งมีกำหนดในปี 2029
รัฐบาลพรรคเลเบอร์บอกว่าพวกเขาจะปรับลดการใช้จ่ายในต่างแดนของสหราชอาณาจักร เพื่อช่วยเป็นทุนในงบประมาณด้านกลาโหม
ในคำแนะนำภายในรายงานการทบทวนนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศฉบับล่าสุด ทางรัฐบาลสหราชอาณาจักรระบุในวันอาทิตย์(1มิ.ย.) ว่าพวกเขาจะขยายคลังแสงและศักยภาพการผลิตอาวุธ และจะยกระดับมากขึ้นไปอีกถ้ามีความจำเป็น
ในนั้นรวมถึงงบประมาร 1,500 ล้านปอนด์ สำหรับสร้างคลังแสงอาวุธและระเบิดแห่งใหม่อย่างน้อย 6 แห่ง จัดซื้อขีปนาวุธพิสัยไกลที่สร้างเองภายในประเทศ 7,000 ลูก และใช้เงิน 6,000 ล้านปอนด์ ในด้านผลิตกระสุน ภายในสมัยการทำหน้าที่ของรัฐสภาชุดปัจจุบัน
นอกจากนี้แล้วในช่วงเย็นวันอาทิตย์(1มิ.ย.) รัฐบาลสหราชอาณาจักร บอกว่าพวกเขาจะสร้างเรือดำน้ำโจมตีสูงสุด 12 ลำ ส่วนหนึ่งในข้อตกลงพันธมิตรทหาร AUKUS ที่ทำร่วมกับออสเตรเลียและสหรัฐฯ
ปัจจุบันสหราชอาณาจักรเตรียมปฏิบัติการกองเรือดำน้ำโจมตีพลังงานนิวเคลียร์ชั้น Astute Class จำนวน 7 ลำ ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยกองเรือดำน้ำ 12 ลำของ AUKUS ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 2030 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันกระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรเปิดเผยด้วยว่าพวกเขาจะลงทุน 15,000 ล้านปอนด์ ในโครงการหัวรบนิวเคลียร์ของพวกเขา และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประกาศลงทุน 1,000 ล้านปอนด์ สำหรับสร้าง "กองบัญชาการไซเบอร์" เพื่อช่วยเหลือในสมรภูมิรบ
(ที่มา:เอเอฟพี)