ศูนย์ข่าวขอนแก่น-สลด หลานชายใช้ก้อนหินทุบย่าพิการดับคาบ้าน ล้างเลือดอำพรางศพ อ้างย่าล้มหัวฟาดพื้น แต่ตำรวจไม่เชื่อ เค้นสอบจนรับสารภาพ ก่อเหตุใช้ก้อนหินทุบศีรษะย่าจนตาย เหตุหงุดหงิดถูกต่อว่า และต้องดูแลย่าที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เก็บขี้/เยี่ยวให้ทุกวัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.ชลิต มรกตศรีวรรณ ผกก.สภ.พระยืน พร้อมด้วยพ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ สายสมบัติ รอง ผกก.สืบสวน สภ.พระยืน พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสภ.พระยืน นำตัวนายสิงหา อนุชาสิริ อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาลงมือฆ่าย่าตัวเองตายในบ้าน ไปชี้จุดเกิดเหตุบ้านเลขที่ 6 หมู่ 1 ต.ขามป้อม อ.พระยืน จ.ขอนแก่น หลังชี้จุดที่เกิดเหตุ
พ.ต.อ.ชลิต มรกตศรีวรรณ ผกก.สภ.พระยืน เปิดเผยว่า เหตุที่ต้องนำตัวผู้ต้องหามาชี้จุดเกิดเหตุในครั้งนี้ เนื่องจากเมื่อเวลา 21.00 น.คืนวันที่ 1 มิถุนายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.พระยืน รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า มีคนตายที่บ้านเลขที่ 6 หมู่ 1 ต.ขามป้อม อ.พระยืน จ.ขอนแก่น หลังรับแจ้งพนักงานสอบสวนพร้อมด้วย พ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ สายสมบัติ รอง ผกก.สืบสวนสภ.พระยืน ได้ไปตรวจที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านไม้สองชั้น หน้าบ้านต่อระเบียงยื่นออกมา
พบร่างน.ส.บุญมา สะตะ อายุ 87 ปี เจ้าของบ้าน นอนเสียชีวิตอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ในบ้าน สภาพศพที่หน้าผาก แก้มซ้าย มีบาดแผลคล้ายของแข็งบาดเป็นแผลลึก เบ้าตาเขียวช้ำ จึงสอบถามนายสิงหา อนุชาสิริ อายุ 49 ปีหลานชาย ซึ่งนั่งอยู่ในบ้าน เบื้องต้นนายสิงหา บอกว่าตนไปทำธุระ กลับเข้าบ้านมาช่วงค่ำ ก็พบย่านอนคว่ำหน้าในห้องน้ำ คาดว่าย่าล้มหัวฟาดพื้น จึงรีบล้างตัวย่าแล้วอุ้มย่ามานอนห่มผ้าที่แคร่ดังกล่าว แต่ย่าไม่ตื่น จึงให้ชาวบ้านแจ้งตำรวจ เพราะเชื่อว่าย่าล้มในห้องน้ำ หัวฟาดพื้นตาย
ผกก.สภ.พระยืน กล่าวอีกว่าจากการร่วมกับแพทย์ตรวจชันสูตรบาดแผลหน้าผาก/แก้มแล้ว เชื่อว่าไม่ใช่บาดแผลที่เกิดจากการล้มในห้องน้ำ แต่น่าจะถูกทำร้ายแล้วเสียชีวิต แล้วคนลงมือก่อเหตุ ก็คือคนใกล้ตัวที่ลงมือฆ่าแล้วอำพรางศพคนตาย ว่าเป็นการล้มในห้องน้ำตาย และจากการตรวจสอบประวัติและตรวจร่างกายของผู้ต้องหา ไม่พบสารเสพติด และประวัติก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาเสพคิดแต่อย่างใด
แต่จากการสอบถามชาวบ้าน ทราบว่านายสิงหา เป็นหลานชายของคนตาย แต่พอนายสิงหาโตเป็นหนุ่ม ไม่ถูกกับพ่อแม่ ทำร้ายพ่อแม่ ไล่พ่อแม่ออกจากบ้าน พ่อแม่ทนไม่ได้จึงออกจากบ้านไปแล้วไม่กลับมาบ้านอีก ย่าจึงรับนายสิงหาเป็นบุตรบุญธรรม ยกทรัพย์สินที่ย่ามีให้นายสิงหาหมด และย่าก็ขายที่ดิน ได้เงินมาหลานแสนบาท เอาเงินให้นายสิงหาเอาไว้เลี้ยงดูตัวเอง นายสิงหาก็อาศัยอยู่ที่บ้านหลังเกิดเหตุกับย่ามาตลอด
ต่อมานายสิงหามีภรรยาอยู่กินกันจนมีบุตรด้วยกัน สุดท้ายฝ่ายภรรยาก็พาลูกหนีไปได้ประมาณ 5 ปีแล้ว ย่าจึงอยู่กับนายสิงหาที่บ้านหลังเกิดเหตุเพียง 2 คน ย่าก็แก่ชรา เดินไม่ได้ ต้องไถไปมาในบ้าน มีนายสิงหาล้างขี้ล้างเยี่ยว และหาข้าวให้กินมาหลายปีแล้ว ระยะหลังนายสิงหาทำร้ายย่าบ่อย แต่ไม่รุนแรง ชาวบ้านใกล้เคียงทราบดี แต่ไม่มีใครอยากยุ่ง
กระทั่งเวลา 19.00 น.วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ย่าได้ไถตัวเองไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน บอกว่านายสิงหาตี แต่ไม่นาน นายสิงหาก็เดินไปอุ้มเอาย่ากลับบ้าน และในช่วงที่เดินเข้าบ้าน นายสิงหาอุ้มย่าหลบมุมกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ในบ้าน เมื่อถึงในบ้านไม่นานก็มีเสียงทุบ 2 ครั้งแล้วก็มีเสียงย่าร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วก็เงียบเสียงไป ต่อมาประมาณ 2 ทุ่มวันเดียวกัน นายสิงหาก็เดินออกมาบอก ว่าย่าล้มในห้องน้ำตายแล้ว ชาวบ้านจึงแจ้งตำรวจดังกล่าว
หลังทราบรายละเอียดจากชาวบ้าน จึงคุมตัวนายสิงหามาสอบสวน เบื้องต้นให้การปฏิเสธ จนกระทั่งช่วงเช้าวันที่ 2 มิถุนายน จึงให้การรับสารภาพว่า หลังจากเมียหนี ก็หงุดหงิดอารมย์เสีย หงุดหงิดที่ย่าพิการบ่นด่า และหงุดหงิดที่ต้องคอยเก็บขี้เก็บเยี่ยวทุกวัน จึงตบย่าไปหลายครั้ง ย่าหนีออกจากบ้านไป จึงไปอุ้มกลับมาที่บ้าน ย่าก็ยังไม่หยุดด่า จึงใช้ก้อนหินทุบที่ศีรษะที่ใบหน้าย่าไป 2-3 ครั้ง จนย่าสิ้นใจ
จากนั้นจึงอุ้มร่างย่าเข้าไปล้างทำความสะอาดในห้องน้ำ แล้วเอาร่างย่ามานอนห่มผ้าไว้บนแคร่ จากนั้นจึงไปบอกชาวบ้านว่า ย่าล้มในห้อน้ำตายแล้ว หลังรับสารภาพ จึงแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่น และเคลื่อนย้ายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย นำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป