xs
xsm
sm
md
lg

รถยนต์จีนทะยานเวทีโลก แต่สงครามราคาภายในประเทศเสี่ยงบั่นทอนอนาคตอุตสาหกรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ขณะที่ตลาดโลกเปิดรับแบรนด์จีนมากขึ้น การแข่งขันแบบ "สงครามราคา" ที่กำลังปะทุในประเทศกลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาระยะยาว เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม สมาคมอุตสาหกรรมรถยนต์จีน (CAAM) ออกแถลงการณ์เตือนถึงผลเสียของการแข่งขันลดราคาอย่างไร้ทิศทาง พร้อมกันนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (MIIT) ก็ประกาศมาตรการควบคุมอย่างจริงจัง โดยเน้นย้ำว่าการแข่งขันที่ดีควรอยู่บนพื้นฐานของคุณภาพและนวัตกรรม ไม่ใช่การทำลายตลาดด้วยราคาต่ำกว่าต้นทุน

สมาคม CAAM ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม มีบริษัทหนึ่งจุดชนวนสงครามราคาด้วยการลดราคารถยนต์อย่างรุนแรง ส่งผลให้ค่ายรถหลายแห่งต้องปรับลดราคาตาม จนเกิดความตื่นตระหนกทั่วทั้งอุตสาหกรรม และนำไปสู่การแข่งขันที่เสี่ยงจะทำลายความสามารถในการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีและบริการในอนาคต

ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า บริษัทที่ถูกกล่าวถึงในแถลงการณ์คือ BYD
ซึ่งเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ประกาศลดราคารถยนต์ 22 รุ่น ระหว่าง 10% ถึง
34% จุดชนวนให้ค่ายอื่นๆ เช่น Geely, Chery ต้องลดราคาตามอย่างรวดเร็ว

แถลงการณ์ของสมาคมเสนอ 4 ข้อหลัก ได้แก่ (1) ทุกบริษัทต้องปฏิบัติตามกติกาการแข่งขันอย่างเป็นธรรม (2) บริษัทชั้นนำไม่ควรใช้ความได้เปรียบทางตลาดเพื่อกดดันคู่แข่ง (3) หลีกเลี่ยงการขายสินค้าต่ำกว่าต้นทุนและการโฆษณาหลอกลวง และ (4) ทุกบริษัทควรตรวจสอบการดำเนินงานให้สอดคล้องกับกฎหมาย

กระทรวงอุตสาหกรรมฯ สนับสนุนข้อเสนอของสมาคมฯ พร้อมเตรียมใช้มาตรการเสริม เช่น ตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างเข้มงวด ปราบปรามการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยั่งยืน

นักวิเคราะห์เตือนว่าหากสงครามราคายืดเยื้อ จะส่งผลให้ผู้ผลิตขาดกำไรเพียงพอสำหรับการลงทุนวิจัยและพัฒนา ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขันระดับโลก

ในขณะเดียวกัน รถยนต์จีนกำลังสร้างผลงานยอดเยี่ยมในตลาดส่งออก ปี 2024 จีนส่งออกรถยนต์ถึง 6.41 ล้านคัน แซงญี่ปุ่นอันดับสองถึง 2.2 ล้านคัน โดยในปี 2025 คาดว่ายอดส่งออกจะทะลุ 7 ล้านคัน โดยเฉพาะรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ซึ่งครองสัดส่วนมากกว่า 20% ของการส่งออกต่อเนื่อง 3 ปี

รถยนต์จีนไม่ได้ใช้เพียงกลยุทธ์ราคาถูกในการเจาะตลาดโลกเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ราคาส่งออกเฉลี่ยต่อคันอยู่ที่ 18,300 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 640,000 บาท) สูงกว่าระดับ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพที่พัฒนาขึ้น โดย BYD สามารถขึ้นเป็นแบรนด์ขายดีที่สุดในสิงคโปร์ช่วงต้นปี 2025 แซงหน้า Toyota


แม้ว่าความสำเร็จจะเริ่มเห็นผล แต่หากเปรียบเทียบกับ Toyota ยังมีช่องว่างอย่างชัดเจน Toyota มีรายได้กว่า 24 ล้านล้านเยน และเดินหน้าลงทุนขยายการผลิตในสหรัฐ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตในท้องถิ่นและลดความเสี่ยงจากภาษีนำเข้า

ในด้านการลงทุนวิจัย BYD มีความโดดเด่น โดยใช้เงิน 54,160 ล้านหยวนในปี 2024 ในขณะที่ Toyota ใช้เงินราว 37,000 ล้านหยวนในช่วงเดียวกัน และสัดส่วนของงบวิจัยต่อรายได้ของ BYD ยังสูงกว่าด้วย

ผู้ผลิตรายอื่น เช่น Geely และ Great Wall ก็ทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนบริษัทหน้าใหม่อย่าง Li Auto และ XPeng เริ่มเห็นผลกำไรหรือขาดทุนลดลง ยกเว้น NIO ที่ยังขาดทุนหนัก โดยปี 2024 ขาดทุนถึง 22,658 ล้านหยวน และขาดทุนเฉลี่ย 102,000 หยวนต่อคัน

ผู้บริหารค่ายรถต่างเห็นตรงกันว่าสงครามราคาไม่ใช่ทางออกที่ดี ตัวอย่างเช่น ประธาน Chery กล่าวว่านี่เป็น "การตัดสินใจที่เจ็บปวดที่สุด" และเตือนว่าการแข่งขันแบบนี้จะทำลายโอกาสในตลาดโลก

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รถยนต์จีนประสบความสำเร็จในการขยายตลาดต่างประเทศ โดยรายได้จากต่างประเทศของผู้ผลิตรถยนต์ในตลาดหุ้น A-share เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ตัวอย่างเช่น Great Wall เพิ่มขึ้น 4 เท่า BYD เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า และ Weichai Power มีรายได้จากต่างประเทศเกือบ 120,000 ล้านหยวน

อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่ความเป็นผู้นำระดับโลกยังต้องใช้เวลา และการพัฒนาต้องอาศัยการลงทุนในเทคโนโลยีและคุณภาพมากกว่าการตัดราคา

ที่มา 联合早报, 澎湃新闻, 新财富, Wind, 百度
กำลังโหลดความคิดเห็น