xs
xsm
sm
md
lg

เจาะแผนเขมรฮุบดินแดนไทย “ช่องบก” แอบยึดแล้วยั่วให้รบ ก่อนชงขึ้นศาลโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ชัดเจนแล้วว่า ฝ่ายกัมพูชาเผา “ศาลาตรีมุข” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แล้วเอากำลังเข้ามาพรึ่บที่ “สามเหลี่ยมมรกต” ซึ่งทางเขมรเรียกว่า “มุมไบ” รอยต่อสามแผ่นดิน ไทย-ลาว-กัมพูชา และล้ำมาถึง “ช่องบก” เข้าเขตดินแดนไทย เพราะมีแผนจะยึด “สามเหลี่ยมมรกต” นี่เอง

นี่คงเป็นความตั้งใจของ “สมเด็จฮุนเซน” มายาวนาน แล้วก็เป็นจริง ในยุคที่ พลเอก ฮุน มาเน็ต ลูกชายเป็นนายกรัฐมนตรี และ พลเอก เตีย เซรยฮา ลูกชายของพลเอก เตียบันห์ คนเกาะกง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต่อจากพ่อ

ทหารเขมรรุกคืบเข้ามาทีละนิดๆ จากเผาศาลาตรีมุข เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เข้ามายึดพื้นที่ จนที่สุดก็ล้ำเข้ามายึดพื้นที่รอยต่อถึง 650 เมตร แล้วเข้ามาที่แนวต้นพญาสัตบรรณ หรือต้นตีนเป็ด ที่เป็นสัญลักษณ์เขตไทย และตั้งฐานทหารด้วยการเอารถแทรกเตอร์ เข้ามาขุด “คูเรด” หรือ สนามเพลาะ ยึดพื้นที่


ต่อมาเมื่อทหารไทยรู้ ก็เข้ามาเพื่อจะเจรจาให้ทหารเขมรออกไป แต่ทหารเขมร โค่นต้นไม้ขวางทางเข้าสู่พื้นที่ ทำให้ทหารไทยถอยออกมาก่อน เพราะไปกันแค่ไม่กี่คน

จากนั้น มีการประสานกันในระดับพื้นที่ แจ้งให้เขมรถอนกำลังออกไป แต่เขมร ไม่ตอบสนอง ยืนยันว่าเป็นดินแดนเขมร

ไม่ใช่แค่ไม่หยุด แต่ทหารเขมรยังรุกทางแนวข้าง และลึกเข้ามา จนมายึดเนิน 745 อย่างที่เราเห็นภาพ จนทหารไทยไปเจรจาให้ถอยออกไป ซึ่งจุดนี้ ทหารเขมร(ทำทีว่า)ยอมถอยออกไป

ทหารไทยบอกให้มากลบ “คูเรด” ที่ขุดไว้ ให้กลับเป็นเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ยังไม่มีรายงานว่าเขม มากลบคูหรือยัง แต่มีรายงานว่าทหารเขมรยังไม่ยอมไปไหนไกล จากเนิน 745 เล็งที่จะเข้ามายึดได้เสมอ


ไม่แค่นั้น ทหารเขมรล้ำแดนเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย ล้ำพิกัด 48PWA ที่เป็นดินแดนไทยไม่ใช่พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน

เบื้องต้นล้ำเข้ามาถึง 150 เมตร และยังพยายามเข้ามาอีก และไม่สนคำเตือนของทหารไทยที่ให้ออกไปจากดินแดนไทย

จนนำมาซึ่งเหตุปะทะเมื่อเช้ามืดวันที่ 28 พ.ค.2568 ที่ทหารไทยนำกำลังเข้าไปแจ้งให้ออกจากดินแดนไทย จนฝ่ายทหารเขมรเปิดฉากยิงใส่ทหารไทยก่อน จึงต้องมีการป้องกันตนเองและยิงตอบโต้ ส่งผลให้ทหารเขมรเสียชีวิต 1 นาย และ บาดเจ็บ 2 นาย สาหัส 1 ที่มีรายงานว่าเสียชีวิตเพิ่ม 1 สังเวยการล้ำแผ่นดินไทย


จนฝ่ายเขมรขอเจรจา (ตามแผน) แต่สั่งเสริมกำลัง ซึ่งเดิมฝ่ายไทยพยายามยื้อเวลากำหนดวันเจราวันที่ 31 พ.ค.2568 แต่ฝ่ายเขมรเร่ง จนนัด 29 พ.ค.2568 ที่ด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ หลังจากที่ระดับผู้นำรัฐบาล และผู้นำทหารคุยกัน พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. คุยผ่าน VTC กับ พล.อ.เมา โซะพัน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชาในวันที่เกิดเหตุปะทะ

จากนั้น เขมรก็ทำตามแผน ทีวางไว้มายาวนาน พล.อ.เมา โซะพัน ประกาศบนโต๊ะเจรจา ยืนยันไม่ถอนกำลัง อ้างว่าทหารเขมรอยู่มาตั้งแต่ก่อนมี MoU 2543

หลังการเจรจาในวันนั้น ฝ่ายกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ 4 ข้อ (ซึ่งต่างจากของไทยที่มี 3 ข้อ) โดยข้อที่ 4 ประกาศจะไม่ถอนทหารออกจากพื้นที่ ด้วยเหตุผลดังกล่าว และตบท้ายว่า ผบ.ทบ.ของทั้งสองชาติ ได้ตกลงและยอมรับในข้อตกลงนีัแล้ว เสมือนเป็นการมัดมือชกว่า ไทยรับรองการประกาศดินแดนของเขมร

กองทัพบกไทยได้ออกแถลงการณ์ตามในวันถัดมา ซึ่งก็ควรจะบอกว่านั่นไม่ใช่ แถลงการณ์ร่วมแต่เป็นคำแถลงฝ่ายเดียวของเขมร แต่กลับไม่ย้ำในเรื่องดินแดนไทย แต่อย่างใด

แม้ทหารเขมรจะยอมถอย ก็เฉพาะออกจากจุดปะทะ 28 พ.ค.ก็ตาม แต่กำลังทหารที่ล้ำแดนไทยนั้น ยังไม่ยอมถอนกำลังออกไป

จากนั้น ทั้งสมเด็จฮุนเซน อดีตนายกฯ รวมทั้งนายฮุนมาเน็ต นายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา ต่างดาหน้าออกมายืนยันว่า เป็นดินแดนเขมร และสั่งระดมกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์เต็มอัตราศึกเข้ามาเสริม

สมเด็จฮุนเซน ในฐานะประธานวุฒิสภากัมพูชา ยังได้กล่าวปลุกระดมในที่ประชุมวุฒิสภากัมพูชาเมื่อวันที่ 29 พ.ค.โดยท้าทายให้ไทยบุกนครวัต และขู่จะยิงเครื่องบินรบไทย เพราะกัมพูชามีเครื่องยิงที่มีประสิทธิภาพ

คาดว่าสมเด็จฮุนเซนน่าจะอ้างถึงจรวด KS-1C และเขมรยังมีปืนใหญ่อัตตาจร ล้อยาง PCL- 09 ปืน 155 มม. SH-1 ที่เพิ่งซี้อมาจากจีน ระยะยิงไกล 27-53 กิโลเมตรอีกด้วย

สมเด็จฮุนเซน ยังได้โพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ประกาศว่าพื้นที่ “สามเหลี่ยมมรกต” เป็นของกัมพูชามานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนข้อตกลงปารีส ก่อนทำบันทึกความเข้าใจกับไทยปี 2000 (MOU 2543) และอ้างว่า UNTAC (องค์การบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในกัมพูชา) อาจให้การเป็นพยานได้

ในการโพสต์เฟซบุ๊กดังกล่าว ฮุนเซนทำตามแผน คือท้าไทยขึ้นศาลโลกที่กรุงเฮกอีกครั้ง โดยระบุว่าหากยังไม่ชัดเจนกัมพูชาและไทยสามารถตกลงกันนำเรื่องนี้พร้อมแผนที่อย่างเป็นทางการที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ (ไม่ใช่แผนที่ที่โจรวาดขึ้นเพื่อขโมยที่ดิน) ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในกรุงเฮก เพื่อยุติเรื่องนี้


พร้อมโชว์ภาพถ่ายที่ถ่ายกับมาดาม บุนรานี ภรรยา บริเวณ “ศาลาตรีมุข” ที่ถ่ายไว้เมื่อกว่า 15 ปีที่แล้วเป็นหลักฐานชัดเจน อ้างว่าถ้าตรงนั้นเป็นดินแดนไทยหรือลาว เขาคงสวมเครื่องแบบทหารไปถ่ายรูปบริเวณไม่ได้ ดังนั้นกัมพูชาจึงไม่สามารถถอนทหารออกจากดินแดนของตนเองตามคำขอของฝ่ายไทยได้

[ความจริงแล้ว ศาลาตรีมุขนั้นใครก็มาถ่ายรูปได้ เพราะเป็นพื้นที่รอยต่อไทย-ลาว-เขมร แต่ฝ่ายไทยออกงบฯ ในการสร้าง ทหารไทยต้องแบกปูน ทราย ไม้ไปสร้าง เท่านั้น เพื่อให้เป็นจุดนัดพบกันของทหาร 3 ชาติ เมื่อลาดตระเวนมานัดเจอกัน หรือ พัฒนาสัมพันธ์ และใกล้ฝั่งเขมรมากกว่า ชาวเขมรจึงเดินทางมาถ่ายรูปได้ปกติ จะสวมชุดอะไรก็ได้ ไม่มีใครห้ามเพราะไม่ใช่พื้นที่ประเทศไทย]

ก่อนที่ทางการเขมรจะบล็อกผู้ใช้งานที่ใช้อินเทอร์เน็ตจากประเทศไทยไม่ให้เข้าดูเฟซบุ๊กเพจของสมเด็จฮุนเซนได้ โดยฮุนเซนอ้างว่า พวกคนไทยหัวสุดโต่งเข้าไปป่วนเพจของตนเอง

เหตุที่สมเด็จฮุนเซนประกาศเช่นนี้ เพราะเขมรยึดสามเหลี่ยมมรกตสำเร็จแล้ว ตั้งฐานที่มั่นทางทหารแล้ว และยังจัดตั้ง Morakot Forces ขึ้นมาดูแลยุทธบริเวณ มรกตนี้ เพิ่มเติมจากที่มีกำลังทหารใน 3 ยุทธบริเวณ ในการดูแลปราสาทเขาพระวิหาร และพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกับไทย 4.6 ตารางกิโลเมตร ขณะที่ฝ่ายไทยนั้น กองกำลังสุรนารี มี ฉก.1 และ ฉก.2 ดูแลพื้นที่

วันนึ้ มีคำตอบแล้วว่าสมเด็จฮุนเซน ที่เป็นทหารเก่า ผ่านมาสมรภูมิรบมาแล้ว วางแผนยึด “สามเหลี่ยมมรกต” โดยลากเส้นพื้นที่เข้ามาถึงดินแดนไทย

นี่เป็นการต่อจิ๊กซอให้เห็นภาพแล้วว่า ที่ทหารเขมรเคลื่อนไหวมาตลอดหลายเดือนนั้น เป้าหมายคือยึดสามเหลี่ยมมรกต แต่ปัญหาคือล้ำเข้ามาในเขตไทยด้วย

ตอนนี้ ทหารไทยต้องอ่านเกมต่อจิ๊กซอภาพเต็มให้ได้ก่อนว่า จากนี้ทหารเขมร จะทำอะไรต่อ ยึดจุดไหน ด้วยวิธีเดิมๆ ที่ทำมาตลอดกว่าครึ่งศตวรรษ จนยึดปราสาทเขาพระวิหารไปได้ในปี 2505 วันที่ทหารไทยต้องถอนธงไทยเดินลงจากเขาพระวิหาร

แผนของเขมร คือ ให้มีการสู้รบและก็ฟ้องศาลโลก เหมือนการสู้รบปี 2554 ที่ทหารเขมรเปิดฉากยิงใส่ทหารไทยที่ไปสร้างถนนขึ้นวัดแก้วศิขคีรีศวร บริเวณปราสาทพระวิหาร แข่งกับเขมร หลังจากที่เตือนให้ทหารเขมรหยุดสร้างถนนแล้วไม่ยอมหยุด ทหารไทยจึงเร่งสร้างถนนขึ้นจากฝั่งไทยบ้าง ทหารเขมรก็ยิงใส่ก่อนที่จะทำให้เกิดการสู้รบยิงกันตลอดแนว

จากนั้นในเดือน เม.ย.ปี 2554 เขมรก็หมายจะยึดพื้นที่โดยรอบของปราสาทพระวิหาร พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรด้วยวิธีเดิม คือนำเรื่องฟ้องศาลโลกอีก

แต่ยังดีที่ศาลให้อยู่ร่วมกัน พัฒนาพื้นที่ด้วยกัน และกำหนดเป็นพื้นที่ปลอดทหาร ใช้กำลัง ตชด.แทน แต่ก็มีรายงานว่าทางทเขมรเอาทหารมาแต่งชุดตำรวจมาอยู่ก็มี

จากนั้นรัฐบาลไทยก็ประกาศไม่รับอำนาจศาลโลกอีกต่อไป

มาครั้งนี้ ทหารเขมรยั่วยุทหารไทยมานานหลายเดือน แต่ทหารไทยอดทนสูง ทหารเขมรจึงใช้วิธีการล้ำแดนไทย และรู้ว่าทหารไทยต้องมาใช้กำลังทหารกดดัน จนเกิดเหตุปะทะในวันที่ 28 พ.ค.2568 นั่นเอง

ฝ่ายเขมรเล่นใหญ่ เรียกร้องเจรจาทันที แม้จะเป็นการปะทะเล็กๆ จนทำให้ ผบ.ทบ.ทั้ง 2 ชาติมาขึ้นโต๊ะเจรจา

เขมรทำตามแผน ไม่ยอมถอนทหารและออกแถลงการณ์ยืนยัน ก่อนที่สมเด็จฮุนเซน จะออกมาท้าให้ขึ้นศาลโลกอีกครั้ง

รอดูการตัดสินใจของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม และผู้นำกองทัพ ว่า จะปล่อยไปแบบนี้ ให้ทหารเขมรยึดดินแดนไทยต่อไป ปล่อยนานไปเขมรยิงเสริมแกร่ง การใช้กำลังทหารเข้าตีเพื่อยึดคืนจึงไม่ง่าย และอาจตามมาซึ่งการสู้รบอีกครั้ง

มีรายงานว่า หลังปะทะ 2 วันติด ช่วงเช้าทหารเขมรรัวยืงปืนราว 20 นัด มาทางฝั่งทหารไทย ราวกับต้องการเช็กว่า ทหารไทยถอยจากแนวไปหรือยัง ซึ่งทหารไทยใช้ความอดทนอย่างมาก ในการที่จะไม่ยิงตอบโต้ไปเพราะวันแรก รอการเจรจาในช่วงบ่ายของ ผบ.ทบ.2 ชาติ ส่วนวันรุ่งขึ้น ก็มีข้อตกลงจากที่ประชุมฯ แล้ว เพราะทหารไทยมีวินัย

หากพูดตามข้อเท็จจริง พื้นที่สามเหลี่ยมมรกตนั้น จะใช่พื้นที่ของไทยหรือไม่ก็ตาม แต่เดิมเป็นพื้นที่ร่วมในการประสานงานของทหาร 3 ชาติ ที่ลาดตระเวนและพัฒนาสัมพันธ์ มานัดเจอกันที่ศาลาตรีมุข แล้วก็แยกย้ายกลับดินแดนของตนเอง ทหารเขมรจะยึดก็ยึดไป

แต่ดินแดนไทย 150 เมตรที่ล้ำเข้ามา แม้จะเป็นป่าเขา แต่ทหารไทยใช้เลือดและชีวิตรักษาไว้จนมาถึงรุ่นเรา เรามีหน้าที่ต้องรักษาไว้ ต่อให้แค่ตารางนิ้วเดียว ก็ตาม ทหารเขมรต้องถอนกำลังออกไป

และคงไม่ให้เป็น “โนแมนส์แลนด์” หรือพื้นที่ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะเป็นแค่ป่า แทนที่ทหารสองฝ่ายจะยิงกันก็มาเตตะกร้อตอนเย็นกัน ตามที่นายทักษิณ ชินวัตร ได้พูดเอาไว้.

หมายเหตุ : ข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Wassana Nanuam โพสต์เมื่อวันที่ 31 พ.ค.2568

กำลังโหลดความคิดเห็น