กระทรวงพลังงานเมียนมาเซ็นสัญญาแบ่งปันผลประโยชน์ในแหล่งก๊าซนอกชายฝั่ง ลำดับที่ 7 "มินแยตู่"ในอ่าวเมาะตะมะกับ "นอร์ธเทิร์น กัลฟ์ ปิโตรเลียม" จากประเทศไทย ที่เชื่อว่ามีสายสัมพันธ์กับ"ทักษิณ ชินวัตร"
วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 กระทรวงสารสนเทศ เมียนมา รายงานว่า Myanmar Oil and Gas Enterprise (MOGE) รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงพลังงาน ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ได้ลงนามกับบริษัทกัลฟ์ ปิโตรเลียม เมียนมา ในสัญญาแบ่งปันผลผลิตจากการขุดเจาะและผลิตก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งจากแหล่งมินแยตู หรือ Block M-10 ในอ่าวเมาะตะมะ โดยคาดว่าจะสามารถนำก๊าซธรรมชาติจากแห่งนี้ขึ้นมาใช้ได้ในปี 2571
อู โก่โก่ลวิน รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การขุดเจาะก๊าซธรรมชาติจากแหล่งเยมินตู่ เป็นความจำเป็นเพื่อทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มาสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ เนื่องจากปัจจุบัน แหล่งก๊าซธรรมชาติในทะเลของเมียนมา ได้ถูกขุดเจาะและนำขึ้นมาใช้จนปริมาณสำรองเหลือน้อยเต็มที หากสามารถนำก๊าซธรรมชาติจากแหล่งมินแยตูขึ้นมาใช้ได้ จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และสร้างงานให้กับประชาชนชาวเมียนมา
ปัจจุบัน แหล่งก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่เป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาลเมียนมา มีอยู่ทั้งสิ้น 6 แห่ง มี 4 แห่งที่ได้นำก๊าชขึ้นมาขายเชิงพาณิชย์แล้ว ได้แก่ ยาดานา , เยตากุน , ซอติกะ และฉ่วย อีก 2 แหล่งอยู่ระหว่างขุดสำรวจ ส่วนแหล่งมินแยตู ถือเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งของรัฐบาลเมียนมาลำดับที่ 7 แต่เป็นแหล่งแรกที่รัฐบาลได้ทำสัญญาแบ่งปันผลประโยชน์กับบริษัทเอกชนในยุคที่มีการบริหารงานโดยสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC)
บริษัท กัลฟ์ ปิโตรเลียม เมียนมา เป็นบริษัทลูกของบริษัทนอร์ธเทิร์น กัลฟ์ ปิโตรเลียม จากประเทศไทย ที่หลายคนเชื่อว่ามีความเกี่ยวพันธ์กับธุรกิจในเครือข่ายของนายทักษิณ ชินวัตร เพราะมีผู้ถือหุ้นและผู้บริหารเป็นบุคคลในตระกูล "เย็นบำรุง" ที่เคยเป็นผู้บริหารบริษัทชินวัตร ไดเร็กทอรี่ส์ ของนายทักษิณ
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2567 รัฐบาลไทยได้มีมติโอนสัมปทานในแปลงสำรวจปิโตรเลียมรสสุคนธ์ ในอ่าวไทย จากบริษัทเอ็ม พี จี 6 (ประเทศไทย) กับบริษัท Valeura Energy ไปให้กับบริษัทบริษัทนอร์ธเทิร์น กัลฟ์ ปิโตรเลียม เพียงเจ้าเดียว