ก็เป็นไปตามคาดหมายอยู่แล้วว่า ในที่สุด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้วีโต้มติของแพทยสภา ที่ก่อนหน้านี้ให้ลงโทษพักใบอนุญาตแพทย์สองคนของโรงพยาบาลตำรวจ ฐานรายงานผลการรักษาอันเป็นเท็จ และได้ตักเตือนแพทย์ของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ อีก 1 คน
“นายสมศักดิ์ก็ได้ให้ความเห็นกลับไปเป็นรายบุคคลเลย มีทั้งส่วนที่เห็นด้วยกับมติแพทยสภา และมุมที่ให้แพทยสภาเอาไปพิจารณาด้วย อย่างเรื่องของกระบวนการก็ด้วย ซึ่งไม่ใช่เป็นเชิงคำสั่งว่า จะต้องทบทวนอะไร เพราะตรงนั้นเป็นเรื่องที่บอร์ดแพทยสภาต้องไปพิจารณากันต่อ”
นั่นเป็นคำพูดของ นายธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่เปิดเรื่องนี้ออกมา แม้ว่าจะไม่ได้พูดแบบตรงๆ แต่มีความหมายว่า นายสมศักดิ์ ได้วีโต้มติของแพทยสภาไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อตอนเย็น วันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
เชื่อว่าท่าทีแบบนี้ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะนี่คือ “ฝ่ายการเมือง” ที่เข้าใจกันว่า “แนบชิด” กับ “นาย” มานาน และการแก้ไขระเบียบของกรมราชทัณฑ์ เกี่ยวกับเรื่องการ “คุมขังนอกเรือนจำ” ก็เกิดขึ้นในยุคที่เขาเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมาก่อนนั่นแหละ จนมีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเตรียมทางรอเอาไว้ให้ นายทักษิณ ล่วงหน้านั่นเอง
อย่างไรก็ดี ที่น่าพิจารณากันอย่างมากก็คือ ท่าทีก่อนหน้านี้ของ นายสมศักดิ์ ที่ระบุว่า แพทยสภาส่งเอกสารมาไม่ครบ รวมไปถึงบอกทำนองว่า มีการสอบสวนของคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการรักษาอาการของนายทักษิณ ชินวัตร ใช้เวลากระชั้นชิด และกล่าวทำนองว่า มีข้อสรุปบางอย่างแต่มีการลงมติไปอีกอย่างอะไรประมาณนี้
แน่นอนว่า การออกมากล่าวแบบนี้เชื่อว่าหลายคนย่อมมองออกว่านี่คือรายการ “ดิสเครดิต” แพทยสภา เพื่อลดความน่าเชื่อถือ ให้สังคมภายนอกมองว่า ผลสอบดังกล่าวไม่น่าเชื่อถือหรือเปล่า
อย่างไรก็ดี จากการเคลื่อนไหวดังกล่าวของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน น่าจะมีผลในทางตรงกันข้าม เพราะหากพิจารณาเปรียบเทียบความน่าเชื่อถือ ระหว่าง ฝ่ายการเมือง คือ นายสมศักดิ์ กับ แพทยสภา ที่เต็มไปด้วยระดับอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาอย่างยาวนาน สังคมน่าจะเชื่อถือฝ่ายใดมากกว่ากัน
แต่เพื่อไม่ให้เกิดความค้างค้าใจ และไม่ต้องรับฟังข้างเดียว ล่าสุดมีคำชี้แจงออกมาจากผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา และยังเป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการสอบสวนจริยธรรมแพทย์ ที่ลงโทษแพทย์ทั้งสามคน จากทั้งสองโรงพยาบาลออกมาให้ได้รับทราบความจริงอีกด้านหนึ่ง
รศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา และนายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย ในฐานะอนุกรรมการสอบสวนจริยธรรมแพทย์ ที่ลงโทษแพทย์สามคน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ขออธิบายสักเรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวอยู่ช่วงนี้ แล้วทำให้คนเข้าใจผิดแพทยสภา
แพทยสภาส่งเอกสารให้สภานายกพิเศษไม่ครบ ?
คำตอบ ไม่จริง แพทยสภาได้ส่งเอกสารเกี่ยวกับมติแพทยสภา ที่รวมขั้นตอนตั้งแต่ผู้ร้องทำการร้อง หลักฐานต่างๆ ที่รวบรวมมาได้ ความเห็นอนุกรรมการจริยธรรม ความเห็นอนุกรรมการสอบสวน ความเห็นอนุกรรมการกลั่นกรอง และความเห็นคณะกรรมการแพทยสภาเอง มีจำนวน 95 หน้า รวมทั้งยังให้เอกสารหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับคดี เช่น เวชระเบียน คำให้การ อีก 1,500 กว่าหน้า ดังนั้นให้ข้อมูลไปครบแล้ว
แต่ทีมที่แต่งตั้งโดยสภานายกพิเศษกลับขอรายชื่ออนุกรรมการกลั่นกรอง กับรายงานการประชุมของอนุกรรมการกลั่นกรอง เพิ่มเติม
แพทยสภาจึงไม่ให้ เพราะไม่เกี่ยวกับส่วนของมติกรรมการแพทยสภา และไม่เข้าใจเหตุผล ว่าต้องการไปเพื่ออะไร เพราะก็มีความเห็นของอนุกรรมการกลั่นกรองระบุในมติ 95 หน้า ที่ส่งให้ไปแล้ว
ทั้งนี้ อนุกรรมการกลั่นกรอง ไม่มีอยู่ใน พ.ร.บ. วิชาชีพเวชกรรม แต่มีข้อบังคับแพทยสภาให้มีขึ้นมา เพื่อช่วยแพทยสภาในการตรวจสอบคดี ก่อนที่แพทยสภาจะมีมติ แต่สุดท้ายแพทยสภาก็เป็นผู้ชี้ขาดอยู่ดี
แล้วเอาจริงๆ ถ้าคิดถึงเรื่องการมีมติลงโทษ หรือไม่ลงโทษแพทย์ที่ถูกร้อง ควรเน้นที่ความเห็นของแพทยสภา กับหลักฐานในคดีที่แพทยสภาใช้ประกอบความเห็นเท่านั้น เพราะแพทยสภาเป็นผู้ชี้ขาด ไม่ว่าอนุกรรมการไหนจะมีความเห็นอย่างไรก็ตาม
ดังนั้น ถ้าท้วงติงหรือขอข้อมูลเพิ่มเติม ควรดูถึงหรือขอหลักฐานที่แพทยสภาใช้ในการตัดสิน มากกว่ามาบอกว่า แพทยสภา ส่งเอกสารไม่ครบ
นั่นคือคำชี้แจงหรือจะเรียกว่าเป็นคำตอบโต้แบบตีแสกหน้าคณะกรรมการพิจารณามติของแพทยสภาก่อนหน้านี้ ก็ได้ รวมไปถึงการ “ตบหน้า” อย่างจังไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ นั่นแหละ
อย่างไรก็ดี กรณีการสอบสวนเรื่องจริยธรรมแพทย์ของแพทยสภาในครั้งนี้ ย่อมมีผลกระทบโดยตรงไปถึง นายทักษิณ ชินวัตร ที่จะส่งผลกระทบไปถึง “คุก” โดยตรงอีกด้วย เพราะมติของแพทยสภา ถือว่าเป็นตัว “จิ๊กซอว์” สำคัญ ที่จะชี้ให้เห็นว่า นายทักษิณ ป่วยเข้าขั้นวิกฤตหรือไม่ เพราะมันมีผลต่อการพิจารณาในการรักษาตัวนอกเรือนจำ ซึ่งมีแต่แพทยสภาเท่านั้น ที่สามารถสอบสวน เจาะลึกลงไปถึงผลการรักษาของแพทย์ได้ เพราะที่ผ่านมาแม้ว่าแทบทุกคนรู้ดี และมองออกได้ว่า นายทักษิณ “ไม่ได้ป่วยวิกฤต” แต่หาหลักฐานมายืนยันไม่ได้ เพราะอ้างเรื่อง “ความลับคนไข้”
เมื่อเป็นแบบนี้ ถือว่า มติแพทยสภา สำคัญที่สุด และที่สรุปว่า “แพทย์รายงานเท็จ” มันก็ยิ่งกระทบหนักไปถึง นายทักษิณ และเชื่อว่ายังมีผลไปถึงการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มีกำหนดนัดหมายในวันที่ 13 มิถุนายน อีกด้วย
และหากพิจารณากันตามไทม์ไลน์แล้ว หลังจากที่ สภานายกพิเศษ คือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน วีโต้มติแพทยสภาไปแล้ว ขั้นตอนต่อไป แพทยสภา ก็ต้องยืนยันมติอีกครั้งด้วยเสียงข้างมากสองในสาม ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการระบุมาแล้วว่า แพทยสภาใช้
“เสียงข้างมากๆๆๆ” จึงน่าจะออกมาแบบเดิม โดยคาดว่าจะประชุมกันไม่เกินวันที่ 12 มิถุนายน ถือว่าเป็นวันสุกดิบก่อนที่ศาลจะนัดไต่สวนในวันรุ่งขึ้น คือ 13 มิถุนายน ซึ่งแม้ว่าฝ่ายการเมืองจะ “ยื้อ” แค่ไหน แต่เชื่อว่าน่าจะจบลงก่อนที่ศาลนัดไต่สวนแน่นอน
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่มีความพยายาม “ดิสเครดิต” แพทยสภาอยู่ตลอดเวลา แต่ที่น่าพิจารณาก็คือ คนที่ออกมาดิสเครดิตนั้น ถูกตั้งคำถามว่ามีเครดิตติดตัวแค่ไหน ตรงกันข้าม ยิ่งออกตัวแรงแบบนี้ยิ่งส่งผลลบต่อตัว “นาย” คือ นายทักษิณ ชินวัตร มากขึ้นไปอีก แต่ก็อย่างว่า พอเข้าใจได้ เพราะงานนี้มันมีความ “เสี่ยงคุก” สูงมากกว่าทุกครั้งเสียด้วย !!