บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง ยื่นอนุญาโตตุลาการ ขอให้กรมทางหลวงชดเชยเยียวยา 2.3 พันล้าน อ้างโควิด-19 สูญรายได้กว่า 4,297 ล้าน เกิดผลเฉลี่ยฐานะทางการเงินราว 2,307 ล้านบาท พบอายุสัญญาสัมปทานเหลือ 9 ปี
วันนี้ (28 พ.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า บริษัทฯ ได้ยื่นคำเสนอขอพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการเพื่อใช้สิทธิและปฏิบัติตามสัญญาค้ำประกันทางหลวงในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 ถนนวิภาวดีรังสิต ตอนดินแดง-ดอนเมือง หรือดอนเมืองโทลล์เวย์ ต่อกรมทางหลวง เพื่อให้แก้ไขเฉลี่ยจ่ายชดเชยฐานะทางการเงินของบริษัทฯ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการใช้กฎหมายการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่งผลให้ปริมาณการจราจรต่ำกว่าที่เคยมี และบริษัทฯ ได้รับผลกระทบต่อฐานะทางการเงิน
โดยบริษัทฯ มีหนังสือขอให้กรมทางหลวงแก้ไขผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของบริษัทฯ และได้ว่าจ้างที่ปรึกษาอิสระเพื่อประเมินการเฉลี่ยปริมาณการจราจร และราคาค่าผ่านทางของทางหลวงสัมปทานทั้งสองตอน ได้แก่ ดินแดง-ดอนเมือง และ ดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน ระหว่างวันที่ 26 มี.ค. 2563 ถึง 30 ก.ย. 2565 ระยะเวลาประมาณ 2 ปี 6 เดือน พบว่าสูญเสียปริมาณจราจรรวม 63,804,258 คัน คิดเป็นรายได้ค่าผ่านทางที่บริษัทฯ สูญเสียไปรวม 4,297,787,290 บาท ส่งผลให้เกิดผลเฉลี่ยฐานะทางการเงินของบริษัทฯ คิดเป็นจำนวนเงิน 2,307,899,050 บาท แต่ยังไม่ได้รับการเยียวยาจากกรมทางหลวง
ดังนั้น บริษัทฯ จึงจำเป็นต้องใช้สิทธิยื่นคำเสนอขอพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ เมื่อวันที่ 27 พ.ค. เพื่อใช้สิทธิตามสัญญาค้ำประกันทางหลวงแก้ไขเฉลี่ยฐานะทางการเงินของบริษัทฯ หากมีคำชี้ขาดให้บริษัทฯ ชนะคดี คาดว่าจะได้รับการเยียวยาชดเชยผลเฉลี่ยฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 2,307,899,050 บาท อย่างไรก็ตาม ผลของการพิจารณาข้อพิพาทดังกล่าว ยังไม่มีความแน่นอน หากสถาบันอนุญาโตตุลาการ หรือคณะอนุญาโตตุลาการ มีคำสั่งสำคัญหรือคำชี้ขาดเป็นประการใด บริษัทฯ จะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบต่อไป
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า สำหรับสัญญาสัมปทานทางยกระดับดอนเมือง (ดอนเมืองโทลล์เวย์) ลงนามเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2532 และขยายสัญญาสัมปทานมาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2539 กรณีการสร้างทางยกระดับส่วนต่อขยายดอนเมือง–อนุสรณ์สถาน แล้วผนวกรวมสัญญาพร้อมขยายอายุสัมปทานออกไปอีก 25 ปี และปี 2550 กรณีการก่อสร้างถนนเลียบทางรถไฟ หรือโลคัลโรด และการย้ายท่าอากาศยานหลักไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยแก้ไขสัญญาสัมปทานออกไปอีก 27 ปี เพื่อป้องกันการฟ้องร้อง และจะสิ้นสุดวันที่ 11 ก.ย. 2577 หรืออีก 9 ปีข้างหน้า ซึ่งสมัยที่นายสราวุธ ทรงศิวิไล เป็นอธิบดีกรมทางหลวง เคยกล่าวเมื่อเดือน ส.ค. 2567 ระบุว่า ได้ตัดสินใจไม่ขยายสัญญาสัมปทาน และกรมทางหลวงจะบริหารโครงการเองหลังสิ้นสุดสัญญา