วันนี้( 26 พ.ค.)ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (ดร.แดน) ประธานสถาบันการสร้างชาติ ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา และนางจิตติมา บุญวิทยา ผู้อำนวยการไอเอฟดีโพลและเซอร์เวย์ ร่วมแถลงผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนไทยตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เรื่อง “คนไทยยี้โกง ชี้ ทุจริตนโยบาย มองจำนำข้าวต้องชดใช้เพราะละเลยทำให้เสียหาย” 1,213 ตัวอย่าง สำรวจ 21 - 25 พ.ค. 2568 ใน 6 ภูมิภาค โดยการลงภาคสนามและการโทรศัพท์ สุ่มตัวอย่างความน่าจะเป็น Stratified Five-Stage Random Sampling ค่าความผิดพลาด 3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
ผลสำรวจไอเอฟดีโพลชี้ว่า
ประชาชนครึ่งหนึ่ง 50.7% เห็นด้วยกับคำตัดสินว่าให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ 10,028 ล้านบาท เพราะแม้ไม่โกงเองแต่ละเลยจนเกิดความเสียหายแก่ประเทศ และเป็นบรรทัดฐาน ให้ผู้นำประเทศต้องรับผิดชอบในนโยบายที่ออกประชาชนเกือบ 7 ใน 10 (69.7%) เห็นด้วยว่าศาลควรมีบทบาทตรวจสอบนโยบายรัฐบาล เพราะนโยบายที่สร้างความเสียหาย แต่นายกฯ หรือรัฐบาลไม่ต้องรับผิดชอบ อาจทำให้ออกนโยบายประเภทนี้ซ้ำ ด้วยภาษีประชาชน ฝ่ายตุลาการจึงควรเข้าถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ในการออกนโยบาย
ขณะที่หน่วยงานที่ประชาชน ไม่เชื่อมั่นมากที่สุด คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดย 40.6% รองลงมาคือ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) 36.2% (อาจเนื่องจากกรณีปัญหาภายใน เช่น โครงการก่อสร้างอาคารที่มีปัญหาทุจริต) และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 23.9% ตามลำดับ
แม้หลายหน่วยงานภาครัฐจะถูกตั้งคำถาม แต่ประชาชนยังมองว่า เครือข่ายภาคประชาชน (เช่น องค์กรและกลุ่มประชาสังคม) เป็นความหวังในการปราบโกงมากที่สุด (29.7% เชื่อมั่น) ตามมาด้วย สื่อมวลชน (24.7%)
สำหรับหน่วยงานภาครัฐนั้น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถือว่าได้รับความหวังจากประชาชนสูงสุด (21.3% เชื่อมั่นว่าจะปราบโกงได้) ตามด้วย ป.ป.ช. (16.9%) และศาลยุติธรรม (10.8%) อย่างไรก็ตาม มีประชาชนถึง 17.6% ที่ระบุว่า “ไม่มีหน่วยงานไหนให้ความหวังได้เลย” สะท้อนภาวะความไว้วางใจต่อระบบปราบปรามทุจริตที่ค่อนข้างวิกฤตในสายตาของประชาชนและสังคม
รูปแบบการทุจริตที่ประชาชนรับไม่ได้สะเทือนใจมากที่สุด
3 อันดับแรก ได้แก่ การโกงในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (56.3%) เช่น กรณีสร้างตึกแล้วเกิดปัญหา, รองลงมาคือ ขบวนการบ่อนการพนัน/ธุรกิจสีเทาและการจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่ (33.8%), และ กรณีการฮั้วในหมู่สมาชิกวุฒิสภา หรือการใช้เส้นสายทางการเมือง (32.4%)
นอกจากนี้ยังมีกรณี ทุจริตเงินทอดกฐินวัดไร่ขิง (27.5%), กรณีอดีตนักการเมืองใช้สิทธิพิเศษที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ (22.8%), การที่รัฐต้องเสียค่าโง่/ค่าปรับให้เอกชนในสัญญาต่าง ๆ (22.2%),
ทัศนคติต่อ “คนโกงแต่เก่ง”: คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับผู้นำที่ทุจริตแม้จะบริหารงานเก่ง – ผลสำรวจชี้ว่า 61.5% ของประชาชน “ไม่รับเด็ดขาด” กับคนทำงานเก่งและโกง ซึ่งยืนยันว่าคนโกงควรพ้นจากตำแหน่ง ไม่ว่าจะมีผลงานดีเพียงใดก็ตาม โดยมีประชาชนเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ลังเลหรือยอมรับได้ภายใต้เงื่อนไข เช่น 18.4% ระบุว่ายังไม่แน่ใจ ขึ้นอยู่กับ เจตนาและผลกระทบ ของการทุจริตนั้น ๆ, และ 18.2% พอรับได้ถ้าเป็นการโกงเล็กน้อยแต่สร้างประโยชน์ส่วนรวมมหาศาล ขณะที่มีเพียง 1.9% ที่บอกว่ารับได้ในกรณีที่ผู้กระทำมีผลงานใหญ่ยิ่ง เช่น สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจฟื้นฟูประเทศได้อย่างโดดเด่น
มุมมองต่อการลงโทษผู้โกงและการมีส่วนร่วมต้านคอร์รัปชัน : ประชาชนเรียกร้องให้มีบทลงโทษที่รุนแรง รวดเร็ว และเป็นรูปธรรมกับผู้ทุจริตคอร์รัปชัน – หลายคนอยากเห็นการ ลงโทษจำคุกจริงจัง ไม่มีการรอลงอาญาหรืออภัยโทษสำหรับนักการเมืองหรือข้าราชการโกงกิน และบางส่วนสนับสนุนให้ใช้ โทษประหารชีวิตกับคนโกงที่ทำประเทศเสียหายหนักจริง ๆ รวมถึงมาตรการอย่าง ยึดทรัพย์สินคืนแผ่นดินพร้อมดอกเบี้ย, การตัดสินคดีทุจริตให้เสร็จสิ้นภายใน 3 เดือน
ทั้งนี้เมื่อพบการทุจริตต่อหน้า คนส่วนใหญ่เลือกแจ้งทางการหรือเก็บหลักฐาน : หากประชาชน เจอการโกงต่อหน้าต่อตาประมาณ หนึ่งในสาม (31.9%) ระบุว่าจะ แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที ในขณะที่อีก 30.3% เลือกที่จะบันทึกหรือรวบรวมหลักฐานไว้ก่อน เพื่อรอโอกาสเปิดโปงหรือส่งต่อผู้มีอำนาจจัดการ
นอกจากนี้ 17.3% จะใช้วิธี โพสต์ข้อมูลลงโซเชียลมีเดีย เพื่อให้สังคมช่วยกดดันผู้กระทำผิดอย่างรวดเร็ว แต่มีกลุ่มหนึ่ง (รวมประมาณ 20.5%) ที่ยังไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรง โดยบางส่วนจะเลือก อยู่เงียบ ๆ ไม่ยุ่งเกี่ยว (11.6%) หรือตักเตือนผู้กระทำเป็นการส่วนตัว (8.9%) เท่านั้น
บทบาทประชาชนต้านโกง: ประชาชนตระหนักถึงพลังของตนเองในการแก้ปัญหาทุจริต และเลือกใช้วิธีที่ตนทำได้จริง สองอันดับแรกคือการไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเอง ได้แก่ “ไม่ให้และไม่รับสินบน” อย่างเด็ดขาด (43.9%) และ “ไม่สนับสนุนคนโกง” เช่น จะไม่เลือกตั้งผู้ที่มีประวัติคอร์รัปชัน, ไม่ใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคนทุจริต, และไม่ส่งเสริมแชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อคนโกง (43.6%) นอกจากนี้ยังเน้นการ ปลูกฝังคนรุ่นใหม่ โดย 20.2% ระบุว่าจะสอนลูกหลานให้เติบโตมาอย่างซื่อสัตย์ไม่โกง, ขณะเดียวกัน 19.3% พร้อมจะใช้ สื่อโซเชียลในการเปิดโปง หรือตั้งคำถามต่อความไม่ชอบมาพากลในสังคม และ 15.0% จะ กล้าแจ้งเบาะแสหรือร้องเรียน เมื่อพบการโกงโดยตรง อย่างไรก็ดี มีประชาชนประมาณ 15.4% ยอมรับตามตรงว่าตนเอง “ไม่รู้จะช่วยแก้ปัญหาทุจริตอย่างไร” หรือคิดว่าทำอะไรเองไม่ได้เลย ซึ่งสะท้อนความรู้สึกหมดหวังของคนบางกลุ่มที่มีต่อการแก้ปัญหาคอร์รัปชันในปัจจุบัน
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ แสดงความเห็นว่า โครงการรับจำนำข้าวมีความชัดเจนว่า เกิดความเสียหายขึ้น มีองค์กรตรวจสอบได้ท้วงติงเป็นระยะ แต่อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ยังไม่ได้ดำเนินการป้องกันและแก้ไขอย่างเต็มกำลัง เป็นการประมาทเลินเล่อ ที่คนเป็นนายกฯ ต้องรับผิดชอบ สิ่งสำคัญในการบริหารฝ่ายการเมือง มี 2 เรื่องใหญ่ คือเรื่องคอร์รัปชั่นต้องไม่มี และประสิทธิสภาพในการบริหารต้องดี การตรวจสอบเฉพาะคอร์รัปชั่นไม่พอ แต่ต้องตรวจสอบว่าเกิดประสิทธิสภาพต่อประเทศด้วย ทั้งนี้การออกนโยบายต้องระวัง ไม่ใช่จะออกนโยบายอะไรก็ได้ ต้องมีผลดีต่อประชาชน และต้องรับผิดรับชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ สรุปว่า การเป็นผู้นำประเทศต้องระวังตัว สุจริต จริงใจ และใช้วิจารณญาณที่ดี ต้องทำเต็มที่ไม่เพิกเฉย ซึ่งถือเป็นบทเรียนและกรณีศึกษาของฝ่ายบริหารในการออกนโยบาย“ศ.ดร. เกรียงศักดิ์ ระบุ