ผู้พิพากษาศาลสหรัฐฯ มีคำสั่งยับยั้งชั่วคราววานนี้ (23 พ.ค.) ต่อคำสั่งของรัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้เพิกถอนสิทธิการรับนักศึกษาต่างชาติของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ในความเคลื่อนไหวที่ทางสถาบันไอวีลีกแห่งนี้ชี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนแก้แค้นที่ฮาร์วาร์ดไม่ยอม "สูญเสียอิสรภาพทางวิชาการ"
คำสั่งศาลในครั้งนี้สร้างความโล่งอกโล่งใจให้กับนักศึกษาต่างชาติหลายพันคนซึ่งเสี่ยงถูกบังคับให้ย้ายที่เรียน ภายใต้นโยบายของรัฐบาล ทรัมป์ ที่ทางฮาร์วาร์ดชี้ว่า "เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆ อย่างร้ายแรง" และอาจส่งผลกระทบรุนแรงโดยฉับพลันต่อมหาวิทยาลัยและผู้ถือวีซ่านักศึกษามากกว่า 7,000 คน
"หากปราศจากนักศึกษาต่างชาติ ฮาร์วาร์ดก็ไม่ใช่ฮาร์วาร์ด" สถาบันการศึกษาอายุ 389 ปีซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ระบุในเอกสารคำร้องที่ยื่นต่อศาลส่วนกลางในเมืองบอสตันวานนี้ (23)
ฮาร์วาร์ดมีการรับนักศึกษาต่าวชาติเกือบ 6,800 คนในปีการศึกษาปัจจุบัน หรือคิดเป็น 27% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด
ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นการยกระดับสงครามระหว่างมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและทำเนียบขาว หลังจากที่ ทรัมป์ พยายามที่จะบีบให้มหาวิทยาลัย บริษัทกฎหมาย สำนักข่าว ศาล และสถาบันอื่นๆ ที่มีค่านิยมเป็นกลางไม่เอียงข้างกลุ่มการเมืองใดต้องหันมาดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับวาระของเขา
ทรัมป์ และพันธมิตรในพรรครีพับลิกันกล่าวหามานานแล้วว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำเหล่านี้มีแนวทางอคติเอียงซ้าย (left-wing bias)
ในคำร้องของฮาร์วาร์ด ทางมหาวิทยาลัยระบุว่าการถูกเพิกถอนสิทธิรับนักศึกษาต่างชาติจะทำให้มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องยกเลิกรับนักศึกษาหลายพันคน และส่งผลกระทบรุนแรงต่อโครงการวิชาการ คลินิก หลักสูตร และห้องปฏิบัติการวิจัยต่างๆ "นับไม่ถ้วน" เพียงไม่กี่วันก่อนที่จบการศึกษา
ฮาร์วาร์ดยังมองว่า คำสั่งนี้เป็นการลงโทษจากรัฐบาล ทรัมป์ ที่ไม่พอใจมุมมองของฮาร์วาร์ด และถือเป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงออก รวมถึงบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ครั้งที่ 1 หรือ First Amendment ด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาล ทรัมป์ ยังมีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งยับยั้งของผู้พิพากษาศาลแขวง แอลลิสัน เบอร์โรว์ส
ล่าสุด แอบิเกล แจ็คสัน โฆษกทำเนียบขาว ได้ออกมาระบุแล้วว่า "ผู้พิพากษาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งไม่มีสิทธิขัดขวางรัฐบาล ทรัมป์ จากการใช้อำนาจโดยชอบธรรมควบคุมนโยบายคนเข้าเมืองและนโยบายด้านความมั่นคงของชาติ"
ที่มา: รอยเตอร์