บริษัทยานยนต์ชั้นนำของจีน อาทิ แอโรเอชที, หงฉี, และจีลี่ เดินหน้าพัฒนา “รถบินได้” และอากาศยานไร้คนขับ (eVTOL) เพื่อบุกเบิกตลาดการบินระดับต่ำ ซึ่งคาดว่าจะเติบโตกว่า 5 เท่าจากปีที่แล้ว สู่มูลค่า 486,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2035 ด้วยการสนับสนุนจากนโยบายรัฐบาลจีนที่มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้ให้เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการเดินทางระดับโลก
แนวรบใหม่ของยานยนต์จีน
ท่ามกลางภาวะอิ่มตัวของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศ บริษัทยานยนต์จีนหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาอากาศยานพลังงานไฟฟ้าแบบบินขึ้น-ลงจอดในแนวดิ่ง (eVTOL) และโดรนเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างทางเลือกการเดินทางในเมืองที่รวดเร็วและหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัด โดยเศรษฐกิจการบินระดับต่ำ ซึ่งครอบคลุมอากาศยานที่บินต่ำกว่า 1,000 เมตรจากพื้นดิน ได้รับการผลักดันจากนโยบายและกฎระเบียบของปักกิ่งตั้งแต่ปี 2564
แอโรเอชที บริษัทในเครือเอ็กซ์เผิง ผู้บุกเบิกด้านยานยนต์ไฟฟ้า เตรียมเปิดตัว “แลนด์ แอร์คราฟต์ แคร์ริเออร์” อากาศยาน eVTOL ที่ติดตั้งบนมินิแวนไฟฟ้าสำหรับผู้โดยสาร 4-6 คน โดยมินิแวนดังกล่าวยังทำหน้าที่ชาร์จพลังงานให้อากาศยานได้ โรงงานผลิตของแอโรเอชทีดำเนินการแล้วเสร็จ 70% และคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ หวัง ตัน ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานฝ่ายออกแบบ ระบุว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 5,000 ลำ ในราคาลำละ 200,000 ดอลลาร์
ด้าน อี้หาง ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน (CAAC) เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพื่อดำเนินการแท็กซี่บินได้ไร้คนขับ เหอ เทียนซิง รองประธานบริษัท คาดการณ์ว่า แท็กซี่บินได้จะกลายเป็นตัวเลือกการเดินทางหลักในจีนภายใน 3-5 ปี
การแข่งขันในอุตสาหกรรม
บริษัทยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน เช่น หงฉี (ในเครือเอฟเอดับเบิลยู กรุ๊ป), จีลี่ ออโต้, จีเอซี กรุ๊ป, และ เชอรี่ ออโตโมบิล ต่างทุ่มทรัพยากรเพื่อพัฒนารถบินได้และโดรน โดยใช้จุดแข็งด้านห่วงโซ่อุปทาน เทคโนโลยีดิจิทัล และระบบขับขี่อัตโนมัติ เพื่อท้าทายผู้นำอย่างอี้หางและดีเจไอ
จีเอซี เปิดตัวแบรนด์ โกวี เมื่อเดือนธันวาคม 2567 พร้อมเผยโฉม “โกวี แอร์เจ็ต” รถบินได้ปีกคอมโพสิต และระบบ Robo-AirTaxi สำหรับการเดินทางระยะสั้นในเมือง (20 กม.) และระยะไกล (200 กม.) ขณะที่ จีลี่ ก่อตั้ง แอโรฟูเจีย ในปี 2563 เพื่อพัฒนาอากาศยานไร้คนขับสำหรับการท่องเที่ยวและการแพทย์ฉุกเฉิน โดยกัว เหลียง ซีอีโอของแอโรฟูเจีย ระบุว่า ต้นทุนการดำเนินงานรถบินได้ของบริษัทต่ำกว่าเฮลิคอปเตอร์ทั่วไปถึง 20-33% และมีแผนทดสอบการบินที่เฉิงตูในช่วงครึ่งหลังของปี 2568
ฉางอาน ออโตโมบิล ร่วมมือกับอี้หางเพื่อวิจัยและพัฒนา eVTOL รวมถึงพิจารณาจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อสร้างระบบนิเวศยานยนต์แห่งอนาคต ส่วน เชอรี่ เปิดตัวต้นแบบรถบินได้ในงานประชุมนวัตกรรมโลกที่มณฑลอานฮุยเมื่อเดือนตุลาคม 2567 และประสบความสำเร็จในการทดสอบบินระยะ 80 กม.
โอกาสและความท้าทาย
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน (CAAC) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจการบินระดับต่ำจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด สู่มูลค่า 485,700 ล้านดอลลาร์ในปี 2578 ด้วยการสนับสนุนจากนโยบายและการลงทุนด้านนวัตกรรม อย่างไรก็ตาม หยิน หรัน นักลงทุนในเซี่ยงไฮ้ มองว่า รถบินได้อาจต้องใช้เวลากว่าจะทำกำไรได้ เนื่องจากต้นทุนสูงและความต้องการในตลาดยังต่ำ
นักวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยี เช่น แดน ไอเวส จากเว็ดบุช ซีเคียวริตี้ส์ ชี้ว่า การอนุญาตให้ใช้อากาศยานไร้คนขับรับส่งผู้โดยสารเป็นสัญญาณว่า จีนกำลังก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้าและการขับขี่อัตโนมัติ โดยแท็กซี่บินได้ถือเป็นเขตแดนใหม่ของอุตสาหกรรมยานยนต์และเทคโนโลยี
มองสู่อนาคต
การพัฒนารถบินได้และอากาศยานไร้คนขับของจีนสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่มุ่งปฏิวัติการเดินทางในเมืองและยกระดับนวัตกรรมด้านยานยนต์ ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลและการลงทุนของบริษัทยักษ์ใหญ่ จีนกำลังวางรากฐานเพื่อครองตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมการบินระดับต่ำ ซึ่งอาจเปลี่ยนโฉมการเดินทางทั่วโลกในทศวรรษหน้า