xs
xsm
sm
md
lg

ยึดทรัพย์ “ยิ่งลักษณ์”! ยัดคุก “ทักษิณ”? ยุบ “พรรคภูมิใจไทย”? Game of Thrones

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



เวลานี้ ความสนใจของการเมืองไทยมีแค่เพียง 2 เรื่องซึ่งเป็นจับตาของคนทั้งประเทศ และเป็น 2 เรื่องที่สร้างความร้อนรุ่มให้กับ “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” ชนิดที่อาจจจะพังครืนลงมาอย่างมีนัยสำคัญได้

เรื่องแรกก็คือ “คดีฮั้วสว.” ที่กำลังลุกลามบานปลายกลายเป็น “มหาศึก” ระหว่างสองขั้วอำนาจการเมืองไทย เพราะเล่นกันรุนแรงถึงขั้นยื่น “ยุบพรรคภูมิใจไทย” ว่าอยู่เบื้องหลังขบวนการฮั้วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ส่วนเรื่องที่สองก็คือ “คดีป่วยทิพย์” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่กำลังงวดเข้ามาทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ “แพทยสภา” มีมติลงดาบเชือด 3 หมอที่เกี่ยวข้องกับการย้ายจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไปพำนักอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจว่า มิได้มีประจักษ์พยานชัดแจ้งว่า อาการวิกฤติ

และเรื่องถูกส่งต่อไปที่ “นายสมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะ “นายกสภาพิเศษ” ว่าจะเห็นชอบให้ดำเนินการตามมติแพทยสภาหรือไม่เห็นชอบ และส่งกลับไปให้แพทยสภาพิจารณาทบทวนอีกครั้ง และถ้าหากสมมติว่า นายสมศักดิ์ในฐานะนายกสภาพิเศษวิโต้หรือไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว แพทยสภาจะต้องใช้เสียงเห็นชอบไม่ต่ำกว่า 2 ใน 3 ถึงจะยืนยันตามมติเดิมได้

ทั้งสองเรื่องคือ “Game of Thrones” ซึ่งเขม็งเกลียวเข้ามาทุกที แม้ผู้นำที่อยู่เบื้องหน้าคือ “แพทองธาร ชินวัตร” ในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะยังคงเล่นเกม “หน้าไหว้หลังหลอก แต่ผู้นำที่อยู่เบื้องหลังต่างประเคนหอกดาบเข้าใส่กันอย่างเต็มอัตราศึก นั่นก็คือ “ทักษิณ ชินวัตร” และ “เนวิน ชิดชอบ” ชนิดที่ไม่มีการลดราวาศอกเลยแม้แต่น้อย

กล่าวสำหรับ “คดีฮั้ว สว.” นั้น ความร้อนแรงเดินทางมาถึงขีดสุดหลัง “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” ถูก “สายสีน้ำเงิน” ใช้แง่มุมทางกฎหมายเล่นงานจนถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวกับกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอในทุกทาง เมื่อมีการลากโยงมาถึง “พรรคภูมิใจไทย” ว่ามีส่วนร่วมในขบวนการฮั้วประมูล

โดยเฉพาะ “คนของค่ายสีน้ำเงิน” 10 คนที่ประกอบด้วย 1.วาริน ชิณวงศ์ นายก อบจ.นครศรีธรรมราช สมาชิกพรรคภูมิใจไทย 2.สุบิน ศักดา ผู้นำชุมชน หัวคะแนน พิชัย ชมภูพล สส.สุราษฎร์ธานี พรรคภูมิใจไทย 3.สมเกียรติ เลียงประสิทธิ์ หรือ “โกเกียรติ” เจ้าของค่ายมวยเกียรติเจริญชัย กรุ๊ป พ่อวรศิษฎ์ เลียงประสิทธิ์ สส.สตูล พรรคภูมิใจไทย 4.สมเจตน์ ลิปะพันธ์ ที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย (อนุทิน ชาญวีรกูล) อดีต สส.สุโขทัย พรรคภูมิใจไทย 5.วงศกร ชนะกิจ เลขานุการ กมธ.ป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย สภาผู้แทนราษฎร อดีตผู้สมัคร สส.ภูเก็ต เขต 2 พรรคภูมิใจไทย

6.ศุภชัย โพธิ์สุ อดีต สส.นครพนม พรรคภูมิใจไทย อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรไทย แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน 7.นภิณทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ 8.เตชสิทธิ์ ชูแก้ว สว.จากนครศรีธรรมราช ผู้ทำอาชีพเกษตรอินทรีย์ เป็นสว.กลุ่ม 6 กลุ่มอาชีพทำสวน ป่าไม้ ปศุสัตว์ ประมง /สว.นครศรีธรรมราช 9.สมศักดิ์ จันทร์แก้ว สว.จากนครศรีธรรมราช อดีตกรรมการสมาคมโรงสีข้าวภาคใต้ ผู้คร่ำหวอดในวงการข้าวลุ่มน้ำปากพนัง มีเครือข่ายการเมือง เครือข่ายวงการข้าวไทย และ 10.ณัฐกิตต์ หนูรอด สว.จากพัทลุง อดีตปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง อดีตผู้สมัคร สส.นครศรีธรรมราช พรรคภูมิใจไทย
ทั้งนี้ เท่าที่ตรวจสอบ แต่ละคนที่ปรากฏชื่อว่าถูกหมายเรียกจาก กกต. ได้ให้สัมภาษณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่า ไม่เกี่ยวข้อง ไม่กังวล และถ้ามีหมายมาพร้อมไปชี้แจง


ขณะที่ตัว “หัวหน้าหนู” ก็ถึงกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อถูกถามว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ พร้อมกล่าวว่า “ใครๆ ก็ประเมินถูก” ก่อนที่จะบอกด้วยว่า “แสดงว่าคงต้องมีดีอะไรบางอย่างมั้ง จึงมีคนพยายามเจาะยาง”

แต่ก็หัวเราะอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะเจอหมัดเด็ดจาก “เจ๊แมว-นางกุสุมาลวตี ศิริโกมุท” อดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอให้ยุบพรรคภูมิใจไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นการฮั้วเลือก สว.

เป็น “เจ๊แมว” ที่มีสถานะต่อท้ายด้วยว่า เป็น “และอดีต สส.พรรคไทยรักไทย” ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกหลังมีความขัดแย้งกับ “หัวเขียง-ประยุทธ์ ศิริพาณิชย์” ไปร่วมงานกับ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ของ “ลุงตู่” ในปี 2566 ด้วยเหตุผลโดยอ้างชาวบ้านว่า “หากไม่ลงพรรคเพื่อไทย ก็อยากให้ลงพรรคลุงตู่ เพราะคนอีสานได้อยู่ได้กินจากบัตรลุงตู่” และแม้ว่าจะสอบตก ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค”

นางกุสุมาลวตี กล่าวว่า มีหลักฐานการกระทำความผิดทั้งอั้งยี่ซ่องโจร และพฤติกรรมทั่วไปของนายไชยชนก ชิดชอบ ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรค มีหลักฐานว่า เข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการมีการจัดตั้งคนใน จ.บุรีรัมย์ และพบเส้นทางการเงิน มีหลักฐานการโอนเงิน ซึ่งซูเปอร์คอมพิวเตอร์จับได้หมดว่า ใครโอนเงินไปให้ใครบ้าง โดยจะนำหลักฐานนี้มายื่นให้ภายหลังเพราะกลัวและเชื่อว่า ในทุกองค์กรจะมีฝ่ายเขา - ฝ่ายเรา แต่ถ้า กกต.เรียกตนให้มาชี้แจงเมื่อไหร่ก็จะนำหลักฐานเหล่านั้นมามอบให้

นอกจากนี้ ในส่วนของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มีหลักฐานว่า เมื่อกระบวนการเลือก สว.เสร็จสิ้นแล้ว นายอนุทินได้เรียก สว.ให้ไปพบที่โรงแรมพูลแมน เพื่อให้เขียนใบลาออกเป็นหลักการว่า คนพวกนี้จะต้องอยู่ภายใต้การสั่งการของพรรคภูมิใจไทย และนางสุขสำรวย วันทนียกุล สส.อำนาจเจริญ พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีทั้งภาพขณะ สว.เขียนใบลาออก และคลิปเสียงประกอบ

และแน่นอนว่า พรรคภูมิใจประกาศเดินหน้าฟ้องนางกุสุมาลวดีเป็นที่เรียบร้อย โดยเฉพาะปฏิกิริยาจาก “หัวหน้าหนู” ที่ให้สัมภาษณ์ด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวว่า “เขาพูดไม่จริง เขาพูดโกหกทุกเรื่อง” และโพล่งออกมาด้วยว่า “อย่างที่บอกไง บางทีเราก็เป็นคนสุภาพ ก็โดนคนที่กักขฬะทำแบบนี้”

ไม่นับรวมถึงอีกหนึ่งดอกจาก “นายณฐพร โตประยูร” อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดินที่ส่งทีมกฎหมายยื่นคำร้องต่อ กกต.ให้ส่งเรื่องต่อไปที่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยให้สมาชิกภาพของสว.138 คนสิ้นสุดลงด้วยความเกี่ยวโยงกับคดีฮั้วเลือกตั้ง สว. ซึ่งพรรคภูมิใจไทยไม่อาจปรามาสหรือประมาทได้

เนื่องเพราะคำร้องของนายณฐพรนั้น มีข้อกฎหมายอย่างเดียวกับกับที่เคยร้องให้ยุบพรรคก้าวไกลสำเร็จมาแล้ว ดังนั้น จึงเป็นคำร้องที่ไม่มีปัญหาทางกฎหมายที่จะยกคำร้อง และยังมีข้อเท็จจริง ซึ่งสอดคล้องกับการตรวจสอบของดีเอสไอและกกต.คณะที่ 26 อีกต่างหาก

เมื่อไปผสมโรงกับการยื่นยุบพรรคของ “เจ๊แมว” และบรรดา “สว.สำรอง” จึงเป็น “สงครามหลายหน้า” ที่ค่ายสีน้ำเงินต้องเผชิญกับการกลุ้มรุมในทุกทิศทุกทาง

อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบข้อมูลวงในพบว่า มีความพยายามอย่างหนักที่จะให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบยุติการสอบสวนเรื่องนี้ เพราะมีความสุ่มเสี่ยง “ขั้นสุด” ที่จะนำไปสู่กระบวนการยุบพรรคการเมือง และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค ซึ่งนั่นหมายความว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสมการการเมืองไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ แล้วจะมี “ทางออก” สำหรับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะถ้าดูจากหอกดาบที่ “สายสีน้ำเงิน” และ “สายสีแดง” ประเคนเข้าใส่กันแต่ละหมัดแล้ว บทสรุปของการขัดแย้งมีอยู่ 2 หนทางเท่านั้นคือ “ไม่พังกันข้างหนึ่ง” ก็ต้องมี “ดีลที่ลงตัว” และทำให้ทุกอย่างคลี่คลายลง


คำถามมีอยู่ว่า แล้วอะไรคือ “ดีลที่ลงตัว” ที่ว่านั้น

ทั้งนี้ ถ้าหากพิจารณาจากบริบทของสงครามของสองเสื้อสีที่เกิดขึ้น ก็จะพบว่า เป้าหมายมีเพียงประการเดียวคือ “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องการทำให้ “เนวิน ชิดชอบและอนุทิน ชาญวีรกูล” สองผู้นำค่ายสีน้ำเงิน “หมอบราบคาบแก้ว” แบบไม่มีข้อแม้ ซึ่งเป็นไปได้ในทางทฤษฎีแต่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เนื่องด้วยเงื่อนปมทางการเมืองแปรเปลี่ยนไปจนไม่มีทางที่จะกลับคืนสู่สถานะ “ตะพุ่นหญ้าช้าง” เหมือนในอดีตได้อีกแล้ว

ขณะที่พรรคภูมิใจไทยเองก็ปล่อยข่าวออกมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกันเรื่อง “นายกฯ คนละครึ่ง” ออกมาอีกคำรบ ซึ่งเป็นการตีปลาหน้าไซ หรือยื่นข้อเสนอไปทาง “นายใหญ่คนเสื้อแดง” เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หลังความขัดแย้งปะทะขึ้นอย่างรุนแรง เป็นที่น่าสังเกตว่า เบื้องต้นบรรดา “ผู้มีอำนาจของทั้งสองฝ่าย” ต่างเลือกที่จะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในทำนองของความขัดแย้งระหว่างพรรค แต่ดูเหมือนว่า บรรยากาศดังกล่าวค่อยๆ เลือนหายไปทีละน้อยหลังการเคลื่อนไหวยื่นยุบพรรคภูมิใจไทยจาก “เจ๊แมว” และ “ณฐพร โตประยูร”

ทั้งนี้ คดีน่าจะเข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2569 ดังนั้น ในระหว่างนี้ยังมีเวลาที่จะเจรจาต้าอ่วยหรือไม่ก็เดินหน้ากระซวกแบบเอาเป็นเอาตายกันต่อไปจนกว่าจะถึงกำหนดเวลาที่ว่าไว้

ขณะที่คดี “ป่วยทิพย์” นั้นก็เป็นไปตามคาดว่า “รัฐมนตีสมศักดิ์” สวมบทองครักษ์พิทักษ์แม้วอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อตรวจสอบมติของแพทยสภา โดยอ้างว่า “เอกสารมากเหลือเกิน ตนอ่านไม่ไหวหรอก”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมาได้มีการประชุม “คณะกรรมการเสนอความเห็นต่อสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา เพื่อพิจารณา ตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525” นัดแรก โดยคณะกรรมการทั้ง 9 คนประกอบด้วย 1.นายชัยนันท์ งามขจรกุลกิจ ประธาน 2.นายชัยวัฒน์ พัฒนาพิศาลศักดิ์ ที่ปรึกษา 3.นายพงษ์ศักดิ์ แก้วกมล กรรมการ 4.นายพิทักษ์ ฉันทประยูร กรรมการ 5.นายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร กรรมการ 6.นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ กรรมการ 7.นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ กรรมการ 8.นายวชิระ ปากดีสี กรรมการและเลขานุการคนที่ 1 9.นายวิทยา พลสีลา กรรมการและเลขานุการคนที่ 2 และ 10.นายปิยะวัฒน์ ศิลปรัศมี กรรมการและเลขานุการคนที่ 3

ทั้งนี้ กำหนดการคราวๆ ก็คือคณะกรรมการชุดนี้ต้องเสนอความเห็นให้นายสมศักดิ์ตัดสินใจก่อนครบกำหนดเวลา 15 วันหลังจากแพทยสภาส่งมติมาให้ ซึ่งเส้นตายก็จะอยู่ในราววันที่ 31 พฤษภาคมนี้

แต่ก็มีสัญญาณอันแปร่งปร่าออกมาจากตัว “นายธนกฤต จิตรอารีรัตน์” หนึ่งในคณะกรรมการฯ และผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุขที่ติดสอยห้อยตามอยู่ข้างกายนายสมศักดิ์ออกมาบอกว่า “ได้เริ่มพิจารณาเอกสารจำนวนหลายพันหน้าที่ได้รับจากแพทยสภา แต่ยังพบว่า ขาดรายละเอียดบางส่วน โดยเฉพาะในขั้นตอนการพิจารณาของอนุกรรมการจริยธรรม จึงมีมติให้ขอเอกสารเพิ่มเติมผ่านนายกสภาพิเศษ และหากได้รับเอกสารครบถ้วนทันตามกรอบเวลา คณะกรรมการจะเร่งสรุปความเห็นภายในสัปดาห์นี้ แต่หากยังไม่ครบ อาจต้องขยายการประชุมไปถึงสัปดาห์หน้า”

ขณะที่ในส่วนคดีความของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น บทพิสูจน์สำคัญในวันที่ศาลมีคำสั่งให้นัดพร้อมหรือนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย.2568 เวลา 09.30 น.ซึ่งเป็นข้อต่อสู้ของกรมราชทัณฑ์มีอยู่ 2 ประการ

หนึ่งก็คือ ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ห้อง Royal Suite ชั้น 14 เป็น “สถานที่คุมขัง” ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 4 นิยามของ “สถานที่คุมขัง” ระบุไว้ว่า:“สถานที่คุมขัง” หมายความว่า เรือนจำ ทัณฑสถาน หรือสถานที่อื่นใดที่จัดไว้สำหรับควบคุมขังผู้ต้องขังตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น

และสองก็คือ กรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจต้องแสวงหาหลักฐานมาคัดง้างกับมติแพทยสภาว่า “ทักษิณ ชินวัตร” นั้น ป่วยวิกฤตจริงๆ จนไม่สามารถรักษาในโรงพยาบาลของกรมราชทัณฑ์ได้ และวิกฤติอย่างต่อเนื่องจนต้องรักษาต่อเนื่องในโรงพยาบาลตำรวจก่อนที่จะพ้นโทษกลับมาอยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า

มีการคาดการณ์กันว่า “คดีป่วยทิพย์” ของทักษิณที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิถุนายนนี้น่าจะมีบทสรุปในราวเดือนสิงหาคม 2568 อย่างแน่นอน

แต่ในระหว่างที่รอ “ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยง” ลงมาที่ “พี่น้องชินวัตร” กันแบบ “ช็อกตาตั้ง” กันเลยทีเดียว เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการเป็นจำนวนเงิน 10,028 ล้านบาท

โดยคดีนี้ถือเป็นคดีสุดท้ายของมหากาพย์ “โกงจำนำข้าว” ที่กินระยะเวลามาเกินกว่า 1 ทศวรรษ หรือหากนับจากวันคิกออฟเริ่มโครงการเมื่อเดือนตุลาคม 2544 สิริรวมก็เกือบครบ 14 ปีให้แล้ว

ที่ว่าช็อกก็เพราะวันพิพากษาคดีเป็นช่วงที่ “ตระกูลชินวัตร” กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ดี เป็นรัฐบาลผู้ถืออำนาจ มีคนในตระกูลคือ “หลานอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี

สถานะของ “อดีตนายกฯปู” ก็กลายเป็น “อานายกฯ” ตามสายสัมพันธ์ในครอบครัว

อีกทั้งยังว่ากันว่า “รัฐบาลเพื่อไทย” ชุดนี้จัดตั้งขึ้นภายใต้ “ซูเปอร์ดีล” ที่เลื่องลือกันหนาหู จึงไม่ผิดที่ “ยิ่งลักษณ์” ในฐานะจำเลย จะมีความมั่นใจว่า จะปิดฉากมหากาพย์ด้วยผลที่เป็นบวกกับตัวเธอ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ “ศาลปกครองกลาง” เคยพิพากษาคดีนี้ให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 135/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ที่ให้ “ยิ่งลักษณ์” ชดใช้ค่าทดแทนกรณีปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการ เป็นเงิน 35,717 ล้านบาท

เป็นคำพิพากษาเมื่อปี 2564 ที่ขณะนั้นยังไม่มีปัจจัยบวก หรือสัญญาณใดๆ ว่า ตระกูลชินวัตร จะได้กลับมาเป็นผู้ถืออำนาจด้วยซ้ำ

หรือจะพูดว่า วันนี้ทิศทางลมเป็นใจกว่าวันก่อนนั้นหลายเท่าตัว แต่กลับมาถูกพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายถึง 1 หมื่นล้านบาท ที่อาจจะน้อยกว่าคำสั่งแรกของกระทรวงการคลัง แต่ก็เป็นมูลค่ามหาศาล แม้จะเป็นผู้มั่งมีนามสกุล “ชินวัตร” ก็ตาม

หากจำกันได้ ”พี่ษิณ“ เองเคยประกาศว่า ”น้องปู“ จะกลับมาเล่นน้ำสงกรานต์ด้วยกันเมื่อเมษายนที่ผ่านมา ก่อนจะมาอ้อมแอ้มว่า รอเวลาเหมาะสมอีกครั้ง ทำให้ “น้องปู” รู้ตัวแล้วว่า การกลับมาตุภูมิของตัวเองไม่ได้อยู่ใน “ซูปอร์ดีล” อย่างที่พี่ชายขายฝันไว้ ก็เลยได้ทีเรียกร้อง “ค่าเยียวยา” โดยการววมบทรหัส “V2” มีโควตาเป็นเจ้าภาพในการกำหนดทิศทางนโยบายของรัฐบาล รวมถึงการแต่งตั้งบุคคลตั้งแต่ระดับรัฐมนตรี บอร์ดรัฐวิสาหกิจ ไปจนถึงข้าราชการประจำ และข้าราชการการเมือง จนหลายที “นายกฯ หลานสาว” ต้องมองบนกับลีลาล้วงลูกของ “น้องสาวพ่อ”

ล่าสุดก็เพิ่งสานด่วนเรียก “เฮียยะ” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม จับเครื่องเจ็ทส่วนตัวไปหาถึงมหานครดูไบ เพื่อสั่งการภารกิจบางประการของกระทรวงคมนาคม

และยังมีข่าวว่าที่เหตุสำคัญที่ “ค่ายแดง” พรรคเพื่อไทย ตบจูบกับ “ค่ายน้ำเงิน” พรรคภูมิใจไทย แบบแตกหักกันได้ทุกวินาที ก็มาโปรเจกต์แท็ปเล็ตเพื่อการศึกษางบประมาณหลายหมื่นล้านบาทของกระทรวงศึกษาธิการ ที่เดิมมีดีลกันว่า ”V2“ จะเป็นเจ้าภาพ เพื่อแก้มือโครงการแท็ปเลตภาคแรก สมัยเป็นนายกฯ ที่ล้มครืนไม่เป็นท่า ก่อนถูกรัฐประหารในเวลาต่อมา


ปรากฎถึงเวลาดูเหมือน “บอสใหญ่เขากระโดง” กำหนดจะจัดรายการเบี้ยวซึ่งหน้า ร่าฃทีโออาร์ล็อกสเปกให้ ”บริษัทตู้ชงเจ้าดัง“ ในเครือข่าย ก็เลยทำให้ ”คนทางไกล“ หัวฟัดหัวเหวี่ยง กรี๊ดกร๊าดให้อัปเปหิออกจากรัฐบาล

ทั้งนี้ ทันทีที่ทราบคำพิพากษาของศาล“ยิ่งลักษณ์” ก็โพสต์สวนในทันทีพร้อมกับกราฟิกประกอบอันเลิศหรูอลังการในทำนองตัดพ้อว่าต้องใช้หนี้จำนำข้าวหมื่นล้านบาททั้งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เพราะปรารถนานี้ต้องการช่วยชาวนา และทิ้งท้ายหมัดเด็ดว่า “ถ้านายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ยังไม่อาจเข้าถึงความยุติธรรมที่แท้จริง ก็ไม่มีหลักประกันใดๆ สำหรับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเช่นกันค่ะ”

ส่วน “พรรคเพื่อไทย” เองก็เด้งรับโดยแชร์ความเห็นของ “ยิ่งลักษณ์” ผ่านเพจเฟซบุ๊กของทางพรรค แถมยังโพสต์ถ้อยคำตามมาด้วยว่า “22 พฤษภา ถูกปล้นความยุติธรรม ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า”

หลายคนมองว่า คำพิพากษาดังกล่าวคือ “สัญญาณร้าย” ที่อาจส่งผลต่อ “คดีป่วยทิพย์” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นพี่ชาย เนื่องจากเกิดขึ้นในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม ทำให้มีการตีความหมายไปในทางร้ายมากกว่าดี

และน่าจะทำให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่เคยห้าวเป้งก่อนหน้านี้เพราะมั่นใจใน “ดีล” ต้องกลับไปคิดหนักว่าจะตัดสินใจในคดีของตนเองอย่างไร ซึ่งก็มีการวิเคราะห์ไปต่างๆ นานาว่า ออกได้ทั้งสองทางคือ “หนี” และ “ไม่หนี” ขึ้นอยู่กับว่า จะสามารถหาหคนทางพลิกสถานการณ์ได้หรือไม่

ขณะเดียวกันก็ส่งผลสั่นสะเทือนต่อ “แพทองธาร ชินวัตร” ที่เพิ่งเดินทางไปประชาสัมพันธ์ซอฟต์พาวเวอร์ที่ประเทศอังกฤษอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน เพราะทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลตกอยู่ในสภาพสั่นคลอนอย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งถ้าสุดท้ายแล้ว “พ่อแม้ว” ต้องกลับไปติดคุกใหม่ ก็ยิ่งทำให้รัฐบาลแทบจะหมดสภาพไปโดยสิ้นเชิง

แน่นอนว่า ไม่มีใครรู้สุดท้ายแล้วคดีนี้จะจบลงอย่างไร แต่มีหนึ่งความเห็นที่ไม่อาจมองข้ามได้ ซึ่งมาจาก “นางธิดา ถาวรเศรษฐ” อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือ อดีตประธานคนเสื้อแดงที่บอกว่า “กรณีคุณทักษิณ มีคำแนะนำว่าก็เข้าคุกเหมือนคนอื่นดีที่สุด คุณทักษิณจะได้ไม่ต้องไปเสียชีวิตอยู่เมืองนอก และจะทำให้อยู่รอด คุณทักษิณเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลราชทัณฑ์ดีที่สุด อย่าไปกลัวเลย คุณทักษิณเข้าคุก ไม่ต้องยากลำบากเหมือนพวกเยาวชน อดีตแกนนำเสื้อแดง หรือคนเสื้อแดงด้วยซ้ำ”

เป็นความเห็นที่แสดงว่า คนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยมิได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ “ทักษิณ ชินวัตร” อีกต่อไป

นี่คือ “Game of Thrones” หรือ “เกมแห่งอำนาจของการเมืองไทย” ที่มีเดิมพันสูงยิ่ง
กำลังโหลดความคิดเห็น