xs
xsm
sm
md
lg

“เฉลียว ยันสาด” ฮีโร่แห่งบึงวงฆ้อง! สู้ไม่ถอย หลังกลุ่มผู้บุกรุกยื่นฎีกาขอกลับเข้าทำกินในที่สาธารณะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ชัยนาท - “เฉลียว ยันสาด” นักสู้แห่ง “บึงวงฆ้อง” กลับมาต่อสู้เพื่อที่สาธารณประโยชน์อีกครั้ง หลังผู้เคยบุกรุกบึงวงฆ้อง ยื่นถวายฎีกา จะขอกลับเข้าไปทำกินในที่สาธารณะอีก

วันนี้(21 พ.ค.) นายเฉลียว ยันสาด อายุ 67 ปี นักสู้แห่ง “บึงวงฆ้อง” เดินทางไปที่ศาลากลางจังหวัดชัยนาท เพื่อยื่นหนังสือถึง นายนที มนตริวัต ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท ผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชัยนาท เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับประชาชนที่ใช้ผลประโยชน์ร่วมกันในพื้นที่สาธารณประโยชน์ “บึงวงฆ้อง” และขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเชิงลึก กรณีที่มีชาวบ้านหมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 10 ต.ห้วยงู อ.หันคา จ.ชัยนาท จำนวน 26 ราย ที่เคยบุกรุกเข้าไปทำการเกษตรในพื้นที่บึงวงฆ้อง และได้ถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในที่ดินออกทับที่สาธารณประโยชน์ไปแล้ว แต่กลับไปทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายฎีกา จะขอกลับเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดิน บึงวงฆ้อง ตามเดิม อ้างว่ามีหนี้สินและภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลครอบครัว ทำให้ทางจังหวัด โดย อำเภอหันคา และ เทศบาลตำบลห้วยงู ได้มีการประชุมพิจารณาในเรื่องนี้ แต่ยังไม่มีข้อสรุป


นายเฉลียว บอกว่า ที่มายื่นหนังสือกับผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาทในครั้งนี้ เพราะตนในฐานะคนที่ร่วมต่อสู้เรียกร้องมายาวนานกว่า 30 ปี เพื่อให้ได้ บึงวงฆ้อง พื้นที่กว่า 1,121 ไร่ กลับคืนมาเป็นที่สาธารณประโยชน์ ให้ประชาชน ต.ห้วยงู อ.หันคา / ต.แพรกศรีราชา อ.สรรคบุรี / ต.นางลือ อ.เมืองชัยนาท ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างแท้จริง จึงไม่เห็นด้วย หากจะมีการอนุญาตให้กลุ่มคนดังกล่าว กลับเข้าไปใช้ที่สาธารณประโยชน์ ทำการเกษตรเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

ขอให้ผู้ว่าฯ ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าทั้ง 26 ราย ที่ไปขอพระราชทานที่ดินทำกิน เป็นผู้ที่มีภาระและยากจนจริงหรือไม่ อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้ดีว่า ในเมื่อได้ที่สาธารณประโยชน์ บึงวงฆ้อง ในส่วนที่ถูกบุกรุกนำไปออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย กลับคืนมาเป็นสาธารณสมบัติของชาติดังเดิม ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันแล้ว เพราะสาเหตุใด จะพิจารณาดำเนินการตามพระราชบัญญัติ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ.2562 ให้กลุ่มคนที่ถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกทับที่สาธารณะบึงวงฆ้อง กลับเข้าไปใช้ที่ดินทำประโยชน์ส่วนตัวอีก


ด้านนางสาวพรเพ็ญ โตประเสริฐ ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ออกมารับหนังสือร้องเรียนแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท น.ส.พรเพ็ญ กล่าวว่า เรื่องที่นายเฉลียว ร้องเรียนเรื่องบึงวงฆ้อง ได้รับทราบแล้ว ก่อนหน้านี้ได้ส่งเรื่องร้องเรียนไปยังอำเภอหันคาและเทศบาลตำบลห้วยงูแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งเรื่องนี้ยืดเยื้อมานานแล้ว ผู้ที่ถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิ์จากที่ดินบึงวงฆ้อง ก็มาร้องเรียนเช่นกัน บอกเหมือนถูกขับไล่ ไม่มีที่ดินทำกิน ขอผ่อนผัน ซึ่งทางเราก็รับฟังทั้งสองฝ่าย และได้ทำหนังสือส่งไปยังอำเภอหันคา เน้นย้ำว่าให้ปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ปัจจุบันทราบว่าอยู่ระหว่างดำเนินการรังวัดชี้แนวเขตที่สาธารณประโยชน์ เพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง แต่ยังติดปัญหาบางประการ


สำหรับ ที่สาธารณประโยชน์ บึงวงฆ้อง เป็นบึงที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ขึ้นทะเบียนประกาศสงวนห้ามไว้เมื่อปี พ.ศ. 2477 ประเภทพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน มีเขตติดต่อ 3 อำเภอ คือ อ.หันคา อ.สรรคบุรี อ.เมืองชัยนาท มีพื้นที่ 1,121 ไร่ 2 งาน 15 ตารางวา โดยเมื่อปี พ.ศ. 2525 โครงการชลประทานพลเทพ ได้มีการขุดคลอง ร.4 ข.สุพรรณ ผ่านบึงวงฆ้อง ลงคลองห้วยปลาช่อน เพื่อให้เกษตรกรนำน้ำไปใช้ทางด้านการเกษตรในสภาวะฤดูแล้ง ทำให้บึงวงฆ้องบางส่วนแห้งลง จึงเกิดปัญหาการบุกรุกพื้นที่สาธารณะและมีการออกเอกสารสิทธิ์ที่มิชอบด้วยกฎหมายขึ้น

จนปี พ.ศ. 2538 นายเฉลียว ยันสาด และประชาชนในพื้นที่ ต.ห้วยงู ร่วมกันทำหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยงานรัฐต่างๆที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ให้ตรวจสอบการบุกรุกและการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน มีการฟ้องร้องกันหลายศาล จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2558 ศาลปกครองสูงสุด พิพากษาให้อธิบดีกรมที่ดินเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับที่สาธารณประโยชน์บึงวงฆ้อง


ซึ่งต่อมาในวันที่ 25 กรกฎาคม 2559 อธิบดีกรมที่ดิน ได้ทำการเพิกถอนและแก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ในโฉนดที่ดิน , น.ส.3ก. และ น.ส.3 ที่ออกทับที่สาธารณประโยชน์บึงวงฆ้อง ทั้งแปลงและบางส่วน รวมทั้งสิ้น 51 ฉบับ อย่างไรก็ตาม ผ่านมา 10 ปี หลังศาลพิพากษา พื้นที่บึงวงฆ้อง ก็ยังไม่ได้เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะปัจจุบัน พบว่ายังมีการบุกรุกจากคนบางกลุ่มเข้าไปทำการเกษตร แม้ทางเทศบาลตำบลห้วยงูได้มีการแจ้งความไว้แล้ว แต่ก็ยังจัดการกับปัญหานี้ไม่ได้ หรือความพยายามกว่า 30 ปี ของนายเฉลียว ยันสาด ที่ต่อสู้เพื่อให้บึงวงฆ้อง กลับมาเป็นสาธารณสมบัติของชาติจะสูญเปล่า


กำลังโหลดความคิดเห็น