จากข้อมูลที่เป็นความรู้ที่เผยแพร่โดย “สำนักข่าวอิศรา” เมื่อวันก่อนทำให้ทราบว่า วันที่ 13 มิถุนายน นายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะจำเลย ต้องไปแจ้งข้อเท็จจริงต่อศาล ว่าเป็นอย่างไร
ก่อนหน้านี้ ย้อนไปเมื่อวันที่ 30 เมษายน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้วินิจฉัยกรณีที่ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ร้องว่านายทักษิณ ชินวัตร ยังไม่ได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาของศาล และถูกนำตัวมารักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยายาบาลตำรวจโดยมิชอบ แต่ศาลเห็นว่า นายชาญชัย ไม่ได้เป็นคู่ความ ไม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้เสีย จึงยกคำร้อง
แต่ศาลเห็นว่า อาจมีการบังคับคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมายจำคุก ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวน และมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร จึงเห็นควรให้โจทก์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ จำเลย (นายทักษิณ ชินวัตร) แจ้งต่อศาลว่า มีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร กับสำเนาคำร้องให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาล โดยนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย.68 เวลา 9.30 น.
อย่างไรก็ดี มีข้อสงสัยตามมาอีกว่า ในวันที่ 13 มิถุนายน ดังกล่าวนั้น นายทักษิณจำเป็นต้องไปปรากฏตัวและชี้แจงต่อศาลหรือไม่ เพราะมีกูรูทางกฎหมายบางคนบอกว่า “ไม่จำเป็น หรือไม่ต้องไป” บางคนก็บอกว่าให้ “ส่งทนาย” ไปแทนก็ได้
แต่ล่าสุด ยังมีการเปิดเผยสำเนาคำสั่งศาลฎีกาฯ คดีนี้ ฉบับที่ 2 เรื่องการแจ้งนัดหมายให้โจทก์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และจำเลย (นายทักษิณ ชินวัตร) แจ้งต่อศาลว่า มีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร กับสำเนาคำร้องให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาล โดยนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย.68 เวลา 9.30 น. จึงขอนำมาบันทึกไว้ ณ ที่นี้ ด้วยเช่นกัน
สำเนาคำสั่งศาลฎีกาฯ ฉบับที่ 2 ระบุว่า ให้นัดพร้อม หรือนัดไต่สวน วันที่ 13 มิ.ย.68 เวลา 9.30 น. โดยให้มีหมายแจ้งคำสั่ง และหมายนัดให้โจทก์ (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)) และจำเลย (นายทักษิณ ชินวัตร) ทราบ
โดยมีหนังสือขอให้ศาลที่คู่ความมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลดำเนินการจัดส่งหมายดังกล่าวแทน การส่งหมายหากไม่พบ หรือไม่มีผู้แทนโดยชอบให้ปิดหมายได้โดยให้มีผลทันที และให้มีหนังสือแจ้งคำสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษ กรุงเทพฯ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจทราบ โดยให้จัดส่งทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ
ดังนั้น ตามนี้ก็คือคำว่า“นัดพร้อม” ที่มีความหมายว่า นัดไปพร้อมกันทั้งโจทก์ และ “จำเลย” ซึ่งหากอ่านจากข้อความด้านบน จะเห็นว่า นายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลย ก็ต้องไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อไปชี้แจงในวันที่ 13 มิ.ย. ด้วยตัวเอง
ขณะเดียวกัน ยังมีอีกหลายหน่วยงานตามเอกสารที่แจ้งมาข้างต้นนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษ กรุงเทพฯ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ที่ต้องไปพร้อมกันในวันนั้น
เมื่อโฟกัสมาที่นายทักษิณ ชินวัตร นาทีนี้ก็ต้องเข้าใจแล้วว่า งานนี้เลี่ยงไม่ได้ “ต้องไปศาล” และอย่าได้แปลกใจ ที่ก่อนหน้านี้ ลูกสาว คือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวย้ำทำนอง ว่า “พ่อไปแน่”
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านั้น นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร กลับกล่าวว่า ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ นายทักษิณ จะไม่เดินทางไปด้วยตัวเอง แต่จะทำคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรไปแทน โดยได้เตรียมหลักฐาน และเหตุผลเกี่ยวกับกระบวนการจำคุก การรักษาตัว และการปฏิบัติต่อตัวนายทักษิณไว้แล้ว โดยจะชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเข้าเรือนจำ การได้รับหมายจำคุก และการส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง
โดยเขาย้ำว่า จะส่งคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรไปก่อน ยืนยันนายทักษิณ ป่วยจริง มีประวัติรักษาโรคปอด และความดันสูง เชื่อมั่นกระบวนการส่งตัวรักษาเป็นไปตามขั้นตอนราชทัณฑ์ทุกประการ และไม่กังวลหากศาลตั้งไต่สวนเพิ่มเติม
น่าสังเกตก็คือ คำยืนยันของทนายความของนายทักษิณ หรือแม้แต่ก่อนหน้านี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมักยืนยันว่า นายทักษิณ ป่วยจริง หรือแม้แต่บอกว่า “เคยผ่าตัดด้วย” นั้น เชื่อว่าหลายคนคงไม่มีใครเถียง หรือโต้แย้ง แต่คำถามคือ “ป่วยวิกฤต” แบบอาการเป็นตายเท่ากันหรือเปล่า อีกทั้งหากป่วยวิกฤตทำไมถึงได้วิกฤตได้นานถึง 6 เดือน และพักรักษาอยู่ที่ห้องพิเศษชั้น 14 ไม่ใช่อยู่ในห้องไอซียู
ที่ต้องย้ำว่า “ป่วยวิกฤต” นั้น เพราะมันเป็นเงื่อนไขให้ต้องนำตัวออกมาจากเรือนจำ มารักษาตัวในโรงพยาบาล แต่ถึงอย่างไร เมื่ออาการพ้นวิกฤตก็ต้องนำตัวกลับเข้าเรือนจำทันที แต่นี่กลับมีวิกฤตนานต่อเนื่องถึง 6 เดือนเต็ม ซึ่งทุกคนก็รู้ว่ามันคืออะไร และที่ผ่านมาสังคมแม้จะรู้ว่า คืออะไร แต่หาหลักฐานไม่ได้ เพราะจะอ้างเรื่อง “ความลับคนไข้”คุ้มครองอยู่
แต่เมื่อแพทยสภาแถลงว่า “แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ” สองคน สร้างหลักฐานเท็จ และสั่งพักใบอนุญาต ทุกอย่างจึงเหมือนกับเป็นใบเสร็จยืนยันทันที และนี่จะกลายเป็นสารตั้งต้นในการหาความผิดตามมาเป็นพรวน
เมื่อวกมาที่การไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในเช้าวันที่ 13 มิ.ย. แม้ว่าคำว่า “นัดพร้อม” ทั้งโจทก์และจำเลยต้องไป ซึ่งนายทักษิณ ชินวัตร “เป็นจำเลย” ก็ต้องไปชี้แจงต่อศาล แต่เมื่อพิจารณาแล้ว เขาน่าจะมอบหมายให้ทนายความไปแทน และไม่ว่าจะไปด้วยตัวเอง หรือไม่ ก็ต้องบอกว่า “ระทึกใจ” หนักหน่วงแน่ว่าจะออกหน้าไหน รวมไปถึงต้องถูกจับตาทุกฝีก้าวด้วยว่า “จะหนี” หรือไม่ !!