ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา นำมติที่ประชุมลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับทักษิณ ชั้น 14 ส่งถึง รมว.สาธารณสุข แล้ว ชี้หากไม่ส่งกลับถือว่ายอมรับ ด้านกลุ่ม คปท. ดักคอจี้ รมว.สาธารณสุข อย่าแทรกแซงมติ-เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริง
วันนี้ (15 พ.ค.) ที่กระทรวงสาธารณสุข รศ.นพ.ต่อพล วัฒนา ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา นำส่งมติที่ประชุมแพทยสภาเมื่อวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา แก่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษแพทยสภา เพื่อให้ลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จำนวน 3 คน โดยตักเตือน 1 คน ในกรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ไม่ได้มาตรฐาน และพักใช้ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 คน ในกรณีให้ข้อมูลและเอกสารทางการแพทย์ ไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยมีนายธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วย รมว.สาธารณสุข เป็นผู้รับมอบ
นายธนกฤต กล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ต้องพิจารณาภายใน 15 วัน และต้องส่งกลับไปที่แพทยสภาว่า สภานายกพิเศษแพทยสภาจะมีความเห็นมติของแพทยสภาอย่างไร ซึ่งกฎหมายไม่ได้กำหนดว่า สภานายกพิเศษสามารถขอยืดเวลาในการพิจารณาได้ หากครบ 15 วันตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ก็ต้องส่งให้แพทยสภาว่า จะยืนยันตามมติแพทยสภา หรือจะยับยั้งในประเด็นใด และหากไม่ส่งกลับใน 15 วัน ก็ถือว่าเป็นการยอมรับมติดังกล่าว
ด้าน รศ.นพ.ต่อพล ยืนยันว่า ทางแพทยสภาส่งมติดังกล่าวให้กับสภานายกพิเศษฯ เท่านั้น ยังไม่ได้ส่งมติดังกล่าวให้กับแพทย์ที่ถูกตัดสินลงโทษ เพราะถือว่ากระบวนการยังไม่สิ้นสุด ดังนั้นการที่มีแพทย์ที่เข้าใจว่าตัวเองถูกตัดสิน แล้วมาร้องเรียนตนไม่ทราบว่า แพทย์เหล่านั้น ทราบมติของแพทยสภาจากที่ใด
อีกด้านหนึ่ง เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดย นายพิชิต ไชยมงคล ยื่นหนังสือถึงนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข เพื่อคัดค้านการแทรกแซงแพทยสภา โดยมีนายธนกฤตเป็นผู้รับหนังสือ สาระสำคัญระบุว่า ตามที่ แพทยสภาได้ดำเนินการตั้งอนุกรรมการพิเศษไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีจริยธรรมทางการแพทย์ของคณะแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการ นำตัวนายทักษิณออกมารักษาตัวนอกเรือนจำ นำมาสู่บทสรุปที่ นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา แถลงข่าวว่า "ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ามีอาการป่วยวิกฤตจริง" ย่อมหมายถึงการนำตัวนายทักษิณออกมารักษาตัวนอกเรือนจำอ้างว่าป่วยวิกฤตนั้น ทางการแพทย์ไม่มีหลักฐานที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงลักษณะการป่วยวิกฤตใด
ทั้งนี้ การดำเนินการไต่สวนจริยธรรมแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ย่อมแสวงหาหลักฐาน ข้อเท็จจริงประกอบการไต่สวน เห็นได้จากมีการเรียกเอกสารทางการแพทย์ทุกอย่างในการรักษาตัวนายทักษิณ ตลอด 180 วัน รวมทั้งมีการเชิญแพทย์ที่เกี่ยวข้องมาไต่สวนความจริง ย่อมหมายถึงได้เปิดโอกาสให้แพทย์ที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจง หรือนำหลักฐานมาชี้แจงต่ออนุกรรมการพิเศษ เป็นหลักปกติในการสร้างความเป็นธรรมของการไต่สวนอยู่แล้ว เมื่อความปรากฏชัดจากคำแถลงของตัวแทนแพทยสภา ซึ่งเป็นหลักวิทยาศาสตร์ มีการลงโทษจริยธรรมของแพทย์ที่เกี่ยวข้อง ก็เป็นไปตามกระบวนการโดยชอบ และย่อมไม่เป็นที่กังขาจากสังคมว่า เอาคนนอกวงการแพทย์มาไต่สวนแพทย์
แต่เมื่อผลไต่สวนออกมา กลับมีแพทย์ที่เกี่ยวข้องจากโรงพยาบาลตำรวจ 2 ราย มายื่นขอความเป็นธรรมและขอยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมต่อนายสมศักดิ์ ในฐานะสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา ทั้งที่อนุกรรมการไต่สวนของแพทยสภาก็ได้ให้ส่งหลักฐานชี้แจงไปแล้ว ย่อมหมายถึงข้อเท็จจริงในการรักษาตัวของนายทักษิณเป็นข้อยุติ คปท. จึงมีข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงเพิ่งมีการส่งหลักฐานเพิ่มเติมในตอนมีข้อสรุปการไต่สวน และเหตุใดไม่ส่งให้กับอนุกรรมการไต่สวนของแพทยสภาตั้งแต่ต้น
"การส่งให้กับรัฐมนตรีในฐานะสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา ดูเหมือนมีความจงใจในการขอใช้อำนาจของสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา มาเปลี่ยนแปลงความจริงทางการแพทย์ของอาการป่วยที่อ้างว่าวิกฤตของนายทักษิณหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับการใช้อำนาจของฝ่ายการเมืองมาเปลี่ยนความจริงอาการป่วยทางการแพทย์ ซึ่งเป็นหลักวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ นั่นเท่ากับการแทรกแซงความจริงโดยอำนาจนอกการแพทย์ก็จะยิ่งทำลายจริยธรรมของแพทย์ให้ต่ำลงไปอีก"
พร้อมกันนี้ ยังมีข้อเรียกร้อง 2 ข้อ คือ อย่าให้นายสมศักดิ์ในฐานะสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา ใช้อำนาจเข้าไปแทรกแซง หรือเปลี่ยนข้อเท็จจริงทางการแพทย์ใดๆ ของผลการไต่สวนของแพทยสภา ในกรณีการอ้างว่าป่วยวิกฤตของนายทักษิณ เนื่องจากป่วยวิกฤตหรือไม่วิกฤต มาตรฐานการวินิจฉัยของแพทย์ย่อมรู้ดีว่าเป็นเช่นไร และที่สำคัญย่อมมีเวชระเบียนเป็นตัวบ่งชี้ได้ดีอยู่แล้ว รวมทั้งขั้นตอนการดำเนินการของผู้ป่วยวิกฤตตั้งแต่การขนย้าย การรับตัวแรกรับ และการทำการรักษาตลอด 180 วัน ก็ย่อมมีมาตรฐานในการดำเนินการตามหลักทางการแพทย์เป็นอย่างดี และ 2. หากนายสมศักดิ์จะใช้อำนาจสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา ก็ขอให้มีการดำเนินการลงโทษแพทย์ที่ถูกแพทยสภาลงโทษให้มีโทษที่หนักกว่านี้ เพราะแพทย์เหล่านั้นได้ทำลาย เกียรติยศ ศักดิ์ศรี จรรยาบรรณของแพทย์ไปอย่างย่อยยับ