นาทีนี้ เชื่อว่าข่าวคราวเรื่องการยุบสภา คงจะเบาลงไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อสำรวจถึงความเป็นไปได้แล้ว ถือว่าน่าจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากทั้งตัวคนมีอำนาจยุบ คือ นายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย “ไม่กล้ายุบ” เพราะหากมีการเลือกตั้งใหม่ในวันนี้ พรุ่งนี้ จะเอาอะไรไปขายชาวบ้าน ขณะที่อีกพรรคที่เวลานี้กลายเป็นคู่กรณีคือ พรรคภูมิใจไทยก็คงไม่อยากถอนตัว หรือไม่อยากเลือกตั้งเหมือนกัน สู้เป็นรัฐบาลแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้น สิ่งที่ต้องเป็นอยู่ต่อไปก็คือเป็นแค่เกิด “แรงกดดัน” และ “ต่อรอง”กันเท่านั้นเอง
ขณะเดียวกัน สิ่งที่เป็นไปได้มากกว่าสำหรับ “จังหวะ” ที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคตก็คือการ “ปรับคณะรัฐมนตรี” นั่นคือ การเคลื่อนไหวในลักษณะ“ขยับแรง” ของพรรคกล้าธรรม ที่นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่มีการ “ดูด”ส.ส.เข้าพรรค ล่าสุดเป็นส.ส.จากพรรคประชาชน รวมไปถึงมีข่าวกำลังดีล กับส.ส.อีกหลายคน ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ซึ่งความหมายเท่าที่เห็นก็คือ อย่างน้อยในเบื้องต้นก็คือการเพิ่มปริมาณส.ส.ในพรรค ที่ย่อมมีผลต่อเก้าอี้รัฐมนตรีที่อาจต่อรองได้เพิ่มขึ้น
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยัน หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ด้วยความมั่นใจว่า ไม่มีเรื่องยุบสภาอย่างแน่นอน และว่าได้สอบถามคนในพรรค เพราะงงกับข่าวที่ออกมาว่าทำไมถึงยุบสภาฯ พร้อมย้อนถามสื่อว่า จะยุบเพราะอะไร สื่อจึงตอบไปว่า พรรคภูมิใจไทยจะคว่ำร่างกฎหมายงบประมาณปี 69 เพราะไม่พอใจคดีฮั้วสว. น.ส.แพทองธาร กล่าวว่าไม่มีเลย จริงๆการทำ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งไม่มีเรื่องของการยุบสภาฯอะไรเลย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ผ่าตาอยู่ ซึ่งตนไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับนายอนุทิน เพียงแต่อวยพรให้หายเร็วๆ และความจริงสื่อช่วยกันคิดก็ได้ว่า ทำไมถึงมีข่าวแบบนี้ออกมา เมื่อถามว่าขณะนี้รัฐบาลยังเหนียวแน่นเหมือนเดิมใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เหมือนเดิม ไม่มีอะไร
ถามว่าสถานการณ์ตอนนี้ที่ผู้นำทางจิตวิญญาณสองคน คือ นายทักษิณ ชินวัตร และนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่ภูมิใจไทย กำลังสู้รบกันอยู่ เกินมือนายกฯ ที่จะจัดการปัญหาแล้วหรือไม่ น.ส.แพทองธาร หัวเราะก่อนตอบว่า สื่อชอบโยง โยงนั่น โยงนี่ โยงจนบางทีงงว่าบางเรื่องมันเกี่ยวข้องกันจริงๆ หรือไม่ แต่ไม่มีอะไรทั้งสองท่านคิดว่าคุยกันนอกรอบได้อยู่แล้ว แต่เรื่องปัญหาของรัฐบาลเรามีหน้าที่รักษาเสถียรภาพอยู่แล้ว
เอาเป็นว่าทั้งคำพูด ยืนยันจากปากของ นายกรัฐมนตรีว่า รัฐบาลมีเสถียรภาพ และพรรคร่วมรัฐบาลมีความเข้าใจกันดี ข่าวคราวเรื่องพรรคภูมิใจไทย จะคว่ำร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 จึงเป็นไปไม่ได้ในเวลานี้ อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องจับตากันก็คือ การปรับคณะรัฐมนตรี ที่น่าจะเป็นไปได้มากกว่า โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ “พรรคกล้าธรรม” ของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นั่นเองที่เวลานี้ได้ใช้ “พลังดูด” ส.ส.เข้าพรรคอย่างรุนแรง
แน่นอนว่า ในสถานการณ์ที่เชื่อมโยงกันระหว่างข่าวการยุบสภา และการปรับคณะรัฐมนตรี ล้วนเกิดขึ้นจากเกมการต่อรองแทบทั้งสิ้น และแน่นอนว่า เวลานี้การต่อรองและความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับ ภูมิใจไทย ที่เป็นมาอย่างต่อเนื่อง แต่หากพิจารณาจากตัวเลขและสถานการณ์แล้ว ทำให้ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะขับพรรคภูมิใจไทย พ้นจากรัฐบาล รวมไปถึงพรรคภูมิใจไทย ก็ยังไม่อยากที่จะถอนตัวออกมาก่อนเวลาอันควร
สิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือ ตัวเลขทางคณิตศาสตร์ หากพรรคภูมิใจไทยถอนตัวจะทำให้รัฐบาลมีเสียง “ปริ่มน้ำ” ทันที เพราะเมื่อสำรวจจากคำพูดล่าสุดจาก พรรคประชาชน โดยหัวหน้าพรรค คือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ที่เพิ่งประกาศอย่างชัดเจนว่า พรรคประชาชน จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคร่วมรัฐบาลใดๆ ในสมัยนี้อย่างแน่นอน
นั่นคือ มีความหมายว่า พรรคประชาชนไม่ร่วมรัฐบาลทั้งพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่ที่มีข่าวว่า อาจจะมีความพยายามผลักดันให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีแทน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ต้องถูกบีบให้ “เปลี่ยนม้ากลางศึก” หรือแม้กระทั่งข่าว “ข้ามขั้ว” ไปจับมือกับพรรคประชาชนตั้งรัฐบาล ดังนั้นเมื่อยืนยันแบบนี้อีกครั้งก็ถือว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว
ทีนี้ต้องมาโฟกัสที่การปรับคณะรัฐมนตรี ที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด ซึ่งหากมีขึ้นก็คงจะไม่นานหลังจากนี้ อาจในช่วงก่อนเปิดสมัยประชุมสภาสมัยสามัญในราวเดือนกรกฎาคม พร้อมๆ กับการเคลื่อนไหวอย่างคึกคักของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่นอกเหนือจากเรื่อง “พลังดูด”แล้ว ยังมีความพยายามสร้างกระแสให้เป็น “ผู้จัดการรัฐบาล” คนใหม่เสียด้วย
แม้ว่าคนที่กล่าวในลักษณะ “อวยกันสุดลิ่ม” เป็นโฆษกพรรคกล้าธรรม คนกันเอง คือนายอัครแสนคีรี โล่ห์วีระ สส.ชัยภูมิ ที่อ้างสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ว่า ในสถานการณ์ที่รัฐบาลต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งปัญหาความเหลื่อมล้ำในภาคการเกษตร การลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย และราคาพืชผลที่ผันผวน รัฐบาลจำเป็นต้องมี “ผู้จัดการตัวจริง” ที่ไม่ใช่เพียงนั่งโต๊ะบริหาร แต่ต้องสามารถจัดการปัญหาหน้างานได้จริง ซึ่งบุคคลที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในภารกิจนี้ คือ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม นั่นเอง
แม้ว่าก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะแสดงท่าทีว่า ยังไม่ปรับคณะรัฐมนตรีก็ตาม แต่เมื่อสำรวจสถานการณ์จริงแล้วเวลานี้ถือว่ารัฐบาลกำลังประสบปัญหารุมเร้าทั้งด้านการเมือง และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องหลังที่เกี่ยวกับ “ปากท้อง” ต้องบอกตามตรงว่า รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเวลานี้มัน “ไม่เวิอร์ก” แม้แต่ในพรรคเพื่อไทยยังมีเสียงบ่นออกมาดังๆ เป้าหมายก็พุ่งไปที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่เวลานี้ถือว่า อาการไม่ดีมากที่สุด ราคาสินค้าทุกตัวตกต่ำอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ประกอบกับหากมองเข้าไปทะลุในใจของนายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย แล้ว เชื่อว่าคงต้องการให้ปรับเปลี่ยนรัฐมนตรี และตามวงรอบตามธรรมเนียมก็น่าจะหมุนเวียนกันได้แล้ว เพียงแต่ว่าอาจต้องรอไปก่อนสักเล็กน้อย อย่างน้อยก็อาจต้องรอให้ผ่าน วันที่13 มิถุนายน ที่ศาลฎีกาฯ จะมีการไต่สวนเรื่อง “ป่วยทิพย์” ผ่านไปก่อนก็ได้
อย่างไรก็ดี หากให้สรุปสถานการณ์ นาทีนี้ก็ต้องบอกว่าความเป็นไปได้ในอนาคตอันใกล้นี้การปรับคณะรัฐมนตรีย่อมมีความเป็นไปได้มากกว่ายุบสภาแน่นอน และก็ต้องจับตาการเคลื่อนไหวของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และพรรคกล้าธรรม ที่สร้าง “พลังดูด” ขนานใหญ่ เป้าหมายนอกจากเพิ่มบทบาทตัวเองแล้ว ยังต้องการเพิ่มโควตารัฐมนตรีอีกด้วย งานนี้หวังฉกฉวยจังหวะกินหลายต่อกันเลยทีเดียว !!