อินเดียรัวขีปนาวุธถล่มปากีสถานตั้งแต่เช้าวันพุธ (7 พ.ค.) เพื่อล้างแค้นการสังหารหมู่นักท่องเที่ยวในแคชเมียร์เมื่อเดือนที่แล้ว ด้านอิสลามาบัดระบุเป็นพฤติการณ์ของการทำสงคราม พร้อมประกาศตอบโต้รุนแรง ซึ่งหลังจากนั้นปากีสถานอ้างว่า ยิงเครื่องบินรบอินเดียร่วง 5 ลำ นอกจากนี้สองฝ่ายยังซัลโวปืนใหญ่ใส่กัน โดยการเผชิญหน้าทางทหารครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 38 คน หลายประเทศเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศอดกลั้น ขณะที่นักวิเคราะห์เตือนมีความเสี่ยงที่สถานการณ์จะลุกลามอย่างรวดเร็ว
กระทรวงกลาโหมอินเดียแถลงว่า ได้โจมตีเป้าหมายอย่างน้อย 9 แห่งซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกผู้ก่อการร้ายใช้ในการวางแผนโจมตีอินเดีย และยืนยันว่า เป็นการโจมตีแบบกำหนดเป้าหมายอย่างแม่นยำ โดยเลือกใช้เทคโนโลยีและหัวรบอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกับพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลเรือนของปากีสถาน รวมทั้งไม่ได้ล็อกเป้าโจมตีสถานที่ทางทหารของปากีสถาน และสำทับว่า ที่ผ่านมาอินเดียใช้ความอดกลั้นอย่างมาก
วิกรม มีศรี ปลัดกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ระบุว่า จากข่าวกรองและการติดตามกลุ่มก่อการร้ายในปากีสถานพบว่า กำลังจะมีการโจมตีอินเดียอีกระลอกเร็วๆ นี้ ดังนั้น อินเดียจึงจำเป็นต้องชิงลงมือก่อน
พวกนักการเมืองอินเดียจากพรรคต่างๆ ยกย่องปฏิบัติการคราวนี้ที่มีชื่อรหัสว่า “ซินดูร์” ซึ่งเป็นภาษาฮินดีหมายถึงผงสีแดงชาดที่ผู้หญิงฮินดูแต่งงานแล้วใช้เจิมหน้าผากและศีรษะ และกรณีนี้พาดพิงถึงผู้หญิงที่สามีถูกฆ่าในการสังหารหมู่ที่แคชเมียร์เมื่อเดือนที่แล้ว
ด้านกองทัพปากีสถานแถลงว่า ขีปนาวุธอินเดียโจมตีเป้าหมาย 6 แห่งในแคชเมียร์ส่วนที่อยู่ในการปกครองของปากีสถาน และรัฐปัญจาบ ทางตะวันออกของประเทศ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 คน ซึ่งรวมถึงผู้หญิงและเด็ก
อิสลามาบัดยังอ้างว่า ยิงเครื่องบินขับไล่อินเดียร่วง 5 ลำ โดย 3 ลำตกในอินเดีย นอกจากนั้นทั้งสองฝั่งยังยิงตอบโต้กันหนักหน่วงตามเส้นแนวชายแดนที่แบ่งแยกแคว้นแคชเมียร์ออกเป็นสองส่วน และอินเดียระบุว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 12 คนจากการโจมตีด้วยปืนใหญ่ของปากีสถาน
สองประเทศเพื่อนบ้านที่ต่างครอบครองอาวุธนิวเคลียร์และเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด เกิดบาดหมางกันหนักหน่วงนับจากที่มือปืน 3 คนเข้าไปสังหารเหยื่อ 26 คน ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดู ในแคชเมียร์ส่วนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของอินเดีย โดยบางคนถูกยิงต่อหน้าภรรยาของตนเอง
อินเดียกล่าวหาปากีสถานอยู่เบื้องหลังการโจมตีดังกล่าว ซึ่งมีกลุ่มติดอาวุธใช้ชื่อว่า แคชเมียร์ รีซิสแทนซ์ อ้างความรับผิดชอบ นิวเดลีระบุว่า กลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มลัชการ์-อี-ไตบา ในปากีสถาน ที่สหประชาชาติถือเป็นกลุ่มก่อการร้าย
ทว่า อิสลามาบัดยืนกรานว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการโจมตีนักท่องเที่ยวในแคชเมียร์
ทั้งนี้ อินเดียกับปากีสถานเปิดฉากทำสงครามกัน 3 ครั้งแล้ว นับจากทั้งคู่ได้เอกราชจากอังกฤษในปี 1947 แต่แยกขาดออกจากกันเป็น 2 ประเทศ โดยที่สงคราม 2 ใน 3 ครั้งดังกล่าวมีสาเหตุมาจากแคชเมียร์ ซึ่งทั้งคู่ต่างอ้างเป็นดินแดนของตนเอง
หลังเหตุสังหารหมู่นักท่องเที่ยว นิวเดลีและอิสลามาบัดต่างขับนักการทูตและพลเมืองของอีกฝ่ายออกนอกประเทศ ปิดพรมแดนและน่านฟ้า อินเดียยังระงับสนธิสัญญาแบ่งปันใช้แม่น้ำสินธุ ที่ทำไว้กับปากีสถาน
การโจมตีในวันพุธถือเป็นเหตุการณ์การปะทะรุนแรงที่สุดระหว่างสองประเทศในรอบสองทศวรรษ
นายกรัฐมนตรีเชห์บาซ ชารีฟ ของปากีสถาน ประณามการโจมตีทางอากาศของอินเดีย และประกาศว่า ปากีสถานมีสิทธิ์ตอบโต้พฤติการณ์แห่งสงครามที่อินเดียก่อขึ้น และจะตอบโต้อย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ข้อกล่าวอ้างว่า ยิงเครื่องบินขับไล่ของอินเดียตกเป็นการแก้แค้นหรือไม่ หรืออิสลามาบัดอาจมีมาตรการตอบโต้อื่นๆ อีก
รายงานระบุว่า คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งชาติของปากีสถานประชุมกันเมื่อเช้าวันพุธ ขณะที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดิของอินเดีย จัดประชุมคณะรัฐมนตรีความมั่นคงนัดพิเศษ และเลื่อนแผนการเยือนนอร์เวย์ โครเอเชีย และเนเธอร์แลนด์ที่กำหนดไว้ในสัปดาห์หน้า
ทางด้านกระทรวงมหาดไทยอินเดียแถลงว่า หลายรัฐในอินเดียได้จัดการซ้อมฝึกซ้อมป้องกันพลเรือนเมื่อเย็นวันพุธ เพื่อเตรียมพร้อมพลเรือนและเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในการรับมือการโจมตี
ไมเคิล คูเกลแมน นักวิเคราะห์ที่เชี่ยวชาญเรื่องเอเชียใต้ ชี้ว่า การโจมตีของอินเดียครั้งนี้ถือเป็นการโจมตีรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปีที่ผ่านมา และแน่นอนว่า การตอบโต้ของอิสลามาบัดจะรุนแรงไม่แพ้กัน เนื่องจากทั้งคู่ต่างไม่กลัวที่จะใช้กองทัพขนาดใหญ่ที่เข้มแข็งของตนเองเข้าบดขยี้กับอีกฝ่าย และเสริมว่า มีความเสี่ยงที่สถานการณ์จะลุกลามอย่างรวดเร็ว
สำหรับปฏิกิริยาจากผู้นำโลก อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการยูเอ็น เรียกร้องให้สองประเทศใช้ความอดกลั้นสูงสุด เนื่องจากโลก “ไม่สามารถรับมือการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างอินเดียกับปากีสถาน”
ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความหวังว่า การสู้รบระหว่างสองปรปักษ์ในเอเชียใต้จะยุติลงโดยเร็ว และมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เผยว่า ได้หารือกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคงระดับสูงของทั้งนิวเดลีและอิสลามาบัด รวมทั้งสำทับว่า จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
จีนที่เป็นนักลงทุนใหญ่สุดในปากีสถาน และมีพรมแดนติดกับอินเดียหลายจุด ซึ่งรวมถึงทางตะวันออกเฉียงเหนือของแคชเมียร์ เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในความสงบ ขณะที่อีกหลายประเทศที่รวมถึงอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย ต่างแสดงความกังวลกับการเผชิญหน้านี้ และสายการบินหลายแห่งยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเส้นทางบินที่เกี่ยวข้องกับอินเดียและปากีสถานเนื่องจากมีการปิดสนามบินและน่านฟ้า
(ที่มา: เอพี/รอยเตอร์/เอเอฟพี)