xs
xsm
sm
md
lg

อย่าหาทำ! ศาลลงโทษแล้ว 23 นอมินีอสังหาฯ ต่างชาติในภูเก็ต ปรับรายละ 2 แสน โทษจำคุกรอลงอาญา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ศูนย์ข่าวภูเก็ต - อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า อัปเดตคดีนอมินีอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติในภูเก็ต ศาลพิพากษาลงโทษแล้ว 23 ราย โดยปรับเงินรายละ 200,000 บาท โทษจำคุกรอลงอาญาไว้ 2 ปี โดยให้คุมความประพฤติ 1 ปี และสั่งยกเลิกบริษัท เตือนหยุดการกระทำที่ทำลายธุรกิจคนไทย

วันนี้ (6 พ.ค.) เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ มีใจความว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าติดตามผลการส่งเรื่องบุคคลและนิติบุคคลในจังหวัดภูเก็ตที่มีความเสี่ยงสูงเป็นนอมินีตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ขยายผลและส่งต่อให้พนักงานอัยการฟ้องต่อศาล โดยล่าสุดศาลอาญามีคำพิพากษาตัดสินให้บุคคลและนิติบุคคล 23 ราย มีความผิดต้องรับโทษทางกฎหมายปรับรายละ 200,000 บาท รอการลงโทษจำคุก 2 ปี โดยให้คุมความประพฤติ 1 ปี และสั่งให้จดทะเบียนเลิกบริษัท จึงขอเตือนคนไทยที่มีพฤติกรรมเอื้อให้ คนต่างชาติเข้ามาแสวงผลประโยชน์ในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายให้ยุติการกระทำดังกล่าวโดยด่วนเนื่องจากมีโทษตามกฎหมายอาจถูกปรับและจำคุกดังเช่นกรณีนี้

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในแต่ละปีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะดำเนินการตรวจสอบธุรกิจที่เข้าข่ายมีความเสี่ยงเป็นนอมินีตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 โดยจะมีการคัดกรองกลุ่มเป้าหมายและร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบเชิงลึกกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องปรามและนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมาย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา เน้นการติดตามกรณีคนไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าวหรือสนับสนุนการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ในธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง อาทิ ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ท อสังหาริมทรัพย์ และโลจิสติกส์ โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวของไทย เช่น ภูเก็ต ชลบุรี กรุงเทพมหานคร และเชียงใหม่

อธิบดี กล่าวต่อว่า ล่าสุดจากการติดตามผลการดำเนินคดีกับนอมินีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ตที่กรมฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบเบื้องต้นและส่งต่อให้ DSI ขยายผลพบว่า ศาลอาญาได้มีคำพิพากษา ตามคดีหมายเลขแดงที่ อ.2812/2567 เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 ลงโทษผู้กระทำความผิดตามบทกำหนดโทษแห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 23 ราย ซึ่งมีโทษปรับรายละ 200,000 บาท รอการลงโทษจำคุก 2 ปี โดยให้คุมความประพฤติ 1 ปี และสั่งให้จดทะเบียนเลิกบริษัท

คดีนี้เริ่มต้นจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ตรวจสอบและพบความผิดปกติการถือครองหุ้นของนิติบุคคลจากการลงพื้นที่เข้าตรวจสอบและคัดกรองกลุ่มเสี่ยงนอมินีที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในจังหวัดภูเก็ต พบว่า มีกลุ่มสำนักงานกฎหมายและสำนักงานบัญชีที่มีพฤติกรรมรับจ้างจดทะเบียนนิติบุคคล หรือรับทำบัญชี โดยใช้ชื่อคนไทย (นอมินี) เข้าเป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในหลายบริษัทเป็นผลเอื้อให้บุคคลต่างด้าวสามารถประกอบธุรกิจที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายในประเทศไทย จึงได้ส่งเรื่องต่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ขยายผลการตรวจสอบเป็นคดีพิเศษ โดยกรมฯ สนับสนุนข้อมูลและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมลงพื้นที่เข้าตรวจค้นธุรกิจเป้าหมายร่วมกับ DSI พบว่า มีพฤติกรรมในลักษณะนอมินีจริง มีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือเพียงพอนำไปสู่การส่งเรื่องให้พนักงานอัยการฟ้องต่อศาล ซึ่งในที่สุดศาลอาญาได้มีคำพิพากษาหมายเลขแดงที่ อ.2812/2567 เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 ลงโทษผู้กระทำผิดตามพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ถือเป็นคดีตัวอย่างที่ได้ลงโทษตามกฎหมายกับผู้ที่ให้การสนับสนุนต่างด้าวประกอบธุรกิจในไทยโดยหลีกเลี่ยงกฎหมาย

นางอรมน กล่าวอีกว่า กรมฯ ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบนอมินีและที่ผ่านมาได้ร่วมปฏิบัติการเชิงลึกกับหน่วยงานพันธมิตรที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ซึ่งบางเรื่องอาจใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลและพยานหลักฐานเพื่อส่งฟ้องต่อศาล แต่ถือเป็นพันธกิจหนึ่งของกรมฯ ที่ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลและส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในไทยเพื่อแก้ไขปัญหานอมินีอย่างเป็นรูปธรรม

"ขอเตือนคนไทยที่มีพฤติกรรมให้ความช่วยเหลือกับบุคคลต่างชาติที่เข้าข่ายนอมินีให้หยุดการกระทำดังกล่าว เพราะเป็นการทำร้ายผู้ประกอบการไทยและทำลายธุรกิจของคนไทย ซึ่งจะมีความผิดต้องรับโทษตามกฎหมายคือโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000-1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยหากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลต้องระวางโทษปรับรายวัน วันละ 10,000-50,000 บาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน” อธิบดีกล่าวทิ้งท้าย

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มว่า คดีนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยกองคดีความมั่นคง ได้ทำการเข้าตรวจค้นสำนักงานกฎหมายและบัญชีแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งมีพฤติการณ์กระทำการเป็นเครือข่ายจดทะเบียนบริษัท “นอมินี” ให้ชาวต่างชาติ อันเข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 เป็นคดีพิเศษที่ 295/2565 โดยมีนิติบุคคลต้องสงสัย จำนวนกว่า 60 บริษัท

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานโดยดำเนินคดีกับนิติบุคคลต่างด้าวเป็นรายบริษัทหรือกลุ่มบริษัท และพบว่าสำนักงานกฎหมายและสำนักงานบัญชีเป็นตัวการสำคัญในการกระทำความผิดลักษณะนี้ เป็นตัวกลางเกี่ยวพันหลายบริษัทและเป็นผู้รับจ้างจดทะเบียนนิติบุคคล รับทำบัญชี รวมถึงให้คำปรึกษาด้านภาษีและใบอนุญาตทำงาน (work permit) โดยใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินี เข้ามีชื่อเป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในหลายบริษัท ทำให้นิติบุคคลต่างด้าวดังกล่าวสามารถประกอบธุรกิจที่ไม่ได้รับอนุญาตและหรือถือครองอสังหาริมทรัพย์ อันเกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจการค้าขายอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้วิธีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนผู้ถือหุ้นแทนการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์แบบจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมายให้ชาวต่างชาติสามารถถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ แล้วยังทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากการเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมกว่าร้อยละ 10 ของราคาประเมิน หรือคิดเป็นมูลค่ารวมหลายพันล้านบาทต่อปี

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีความมั่นคงจึงมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งบุคคลธรรมดาชาวไทย ชาวต่างด้าว นิติบุคคลไทย และนิติบุคคลต่างด้าว รวมทั้งสิ้น 23 ราย และส่งข้อมูลนิติบุคคลต่างด้าวที่ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 6 ราย ไปยังกรมที่ดิน เพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ต่อมา พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องตามสำนวนการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.2643/2567

คดีดังกล่าวศาลอาญาได้พิพากษาตามคดีหมายเลขแดงที่ อ.2812/2567 เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 ลงโทษจำคุกจำเลยทั้ง 23 ราย ในความผิดฐาน "ร่วมกันให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อันเป็นธุรกิจที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 โดยคนต่างด้าวไม่ได้รับอนุญาต และฐานเป็นคนต่างด้าวยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทยให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 พิพากษาจำคุก 10 ปี" แต่จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี จึงลดโทษลงกึ่งหนึ่งคงเหลือโทษจำคุก 5 ปี ประกอบกับจำเลย ไม่เคยมีประวัติการกระทำความผิดมาก่อน จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี ปรับรายละ 200,000 บาท ให้คุมความประพฤติจำเลย 1 ปี และให้จดทะเบียนเลิกบริษัท หากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งให้ชำระค่าปรับล่าช้าวันละ 10,000 บาท ตลอดระยะเวลาที่ฝ่าฝืนคำสั่ง
กำลังโหลดความคิดเห็น