ประชุม ครม.วันนี้ จับตารัฐบาลเคาะดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท แก่กลุ่มวัยรุ่น 16-20 ปี งบ 2.7 หมื่นล้านบาท สะพัดรัฐบาลคิดยกเลิกแจกเงินส่วนที่เหลือ เอาไปใช้รับมือสงครามการค้าของสหรัฐฯ ทั้งลงทุนระบบน้ำ และรองรับคนตกงานจากภาษีทรัมป์
วันนี้ (6 พ.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ คาดว่าจะมีการพิจารณาโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะที่ 3 ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ให้กับผู้ที่มีอายุ 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน งบประมาณ 27,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ตามกำหนดการคาดว่ารัฐบาลจะแจกเงินในช่วงไตรมาส 2/2568 หรือประมาณเดือน พ.ค. ถึง มิ.ย. นี้
อย่างไรก็ตาม มีรายงานจากสำนักข่าวอิศรา ระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลมีแนวคิดที่จะยกเลิกการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายอายุ 16-20 ปี รวมถึงยกเลิกแจกเงิน 10,000 บาทในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตส่วนที่เหลือด้วย หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สถาบันจัดอันดับเครดิตพันธบัตรมูดี้ส์ ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทย จากระดับเสถียรภาพเป็นเชิงลบ โดยแนวคิดดังกล่าวได้มีการหารือกันมาระดับหนึ่งแล้ว และหากแนวคิดนี้ลงตัว คาดว่าภายใน 1 สัปดาห์คงจะได้ข้อสรุป
“รัฐบาลมีแนวคิดที่จะออก พ.ร.ก. (พระราชกำหนด) กู้ยืมเงิน วงเงิน 500,000 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้รองรับผลกระทบจากสงครามการค้า ถ้าสามารถปรับการแจกเงิน 10,000 เฟส 3 มาสมทบในส่วนนี้ ก็จะทำให้การกู้เงินลดลงได้ และถ้าแนวคิดต่างๆเหล่านี้ลงตัว คาดว่าภายในหนึ่งสัปดาห์คงได้ข้อสรุป” แหล่งข่าวกล่าวกับสำนักข่าวอิศรา
นอกจากนี้ อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลมีแนวคิดยกเลิกโครงการแจกเงิน ประชาชนกลุ่มเป้าหมายอายุ 16-20 ปี และกลุ่มอายุ 21-59 ปี เนื่องจากการแจกเงินฯในช่วงที่ผ่านมา แทบไม่มีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจเลย รัฐบาลจะนำงบประมาณที่เตรียมไว้สำหรับใช้ในโครงการฯ ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท มาใช้ดำเนินการโครงการต่างๆ เพื่อรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก 1 แสนล้านบาท จะนำไปใช้ในโครงการลงทุนระบบน้ำ และส่วนที่สอง 5 หมื่นล้านบาท จะนำไปจัดทำโครงการรองรับคนตกงานจากมาตรการภาษีของทรัมป์
ที่ผ่านมา รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ แจกเงิน 10,000 บาท ให้ประชาชนไปแล้ว 2 เฟส วงเงินรวม 1.85 แสนล้านบาท ประกอบด้วย กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ 14.5 ล้านคน วงเงิน 1.45 แสนล้านบาท และกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป (ที่ไม่ได้เป็นกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ) 4 ล้านคน วงเงิน 40,000 ล้านบาท โดยเป็นการโอนเงินสดเข้าบัญชีธนาคารที่ผูกกับหมายเลขพร้อมเพย์เลขที่ประจำตัวประชาชน 13 หลัก ไม่ใช่ดิจิทัลวอลเล็ต