กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมคึกคักต่อ ปีนี้โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มองฟื้นตัวและมีอนาคต เชื่อผู้ประกอบการเล็งและเลือกที่จะย้ายฐานการผลิตมาเมืองไทย จากตัวเลขหลากหลายที่มีการยื่นขอ บีโอไอเพิ่มต่อเนื่อง ล่าสุด ทรัมป์ชะลอการเก็บภาษี สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ออกไป ส่งผลให้ความเสี่ยงในการย้ายฐานการผลิตออกจากไทยลดลงช่วงสั้น ทำให้หุ้นมีโอกาสรีบาวน์แนะติดตามการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ
ราคาหุ้น AMATAเช้าวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมาคึกคัก หลังทรัมป์ยืดเวลาเรียกเก็บภาษี ส่งผลให้ราคาหุ้นใหญ่สองตัวในกลุ่มอย่าง AMATA และ WHA วิ่งทันที โดยเช้าวันดังกล่าว ราคาหุ้น AMATA บวก 14.75% มาที่ 14.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.80 บาท มูลค่าซื้อขาย 126.47 ล้านบาท ส่วน WHA บวก 14.63% มาที่ 2.82 บาท เพิ่มขึ้น 0.36 บาท มูลค่าซื้อขาย 111.98 ล้านบาท
ส่งผลให้หุ้น AMATA และ WHA หลังสงกรานต์ (16-18 เม.ย.)ราคาขยับขึ้นต่อเนื่องทั้งสัปดาห์ โดย WHA ปิดที่ 2.76 บาท,2.84 บาท และ 2.88 บาท หรือเพิ่มขึ้น 6.15 % 2.90 % และ 1.41% ตามลำดับ ขณะที่ AMATA ปิดที่ 14.50 บาท ,14.80 บาท และ 14.90 บาท หรือเพิ่มขึ้น 9.02% ,2.07% และ 0.68 % ตามลำดับ
และสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-25 เม.ย. ) ราคาหุ้น ทั้ง WHA และ AMATA ยังคงบวกต่อเนื่องแม้ว่าวันที่ 21 เม.ย.พบว่าหุ้น 2 ตัวนี้กอคอร่วงเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นพบว่าราคาขยับเพิ่มต่อเนื่อง ซึ่งราคาหุ้นสุดสัปดาห์ WHA ปิดที่ 3.06 บาท เพิ่มขึ้น 0.12บาทหรือ 4.08 % มูลค่าซื้อขาย 373.80 ล้านบาท ขณะที่ AMATA ปิดที่ 15.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาท หรือ 4.76 % มูลค่าซื้อขาย 286.53 ล้านบาท
นิคมฯ ฟื้นหลังทรัมป์ชะลอเก็บภาษี
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย ) ระบุ คาดว่าหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมีโอกาสฟื้นตัว หลังทรัมป์ชะลอการเก็บภาษี สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ออกไป ส่งผลให้ความเสี่ยงในการย้ายฐานการผลิตออกจากไทยลดลงในช่วงสั้น ส่งผลให้หุ้นมีโอกาสรีบาวน์ อย่างไรก็ตามระยะกลาง-ยาว ยังคงต้องติดตามการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ในกรอบ 90 วัน ว่าจะลดภาษี ให้ไทยจาก 37% ลดลงเหลือเท่าใด
ดังนั้น แนะนำสะสม AMATA คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/2568 ทรงตัว หรือเพิ่มขึ้นได้เมื่อเทียบปีก่อน จากยอดโอนที่คาดว่าจะเติบโตได้จากปีก่อน ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯต่อทุกประเทศ ทั่วโลกส่งผลให้ Valuation ลดลงเหลือ PER2025 เพียง 5.8 เท่า และให้ Yield 6%
บล.ฟินันเซีย ไซรัสคาดว่า ราคาหุ้น บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชั่น (AMATA) มีโอกาสฟื้นตัวแรงจาก Sentiment บวกจากการเลื่อนเก็บภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ 90 วัน ให้กับกว่า 75 ประเทศ คาดช่วยลดความกังวลต่อกลุ่มนิคมฯเรื่องการลงทุนและการย้ายฐานในอนาคต เนื่องจากสิ้นปี 67 บริษัทมี Backlog 2.1 หมื่นล้านบาท (ไทย 1.9 หมื่นล้านบาท เวียดนาม 1.8 พันล้านบาท ) บริษัทคาดว่าราว 50% ของ Backlog ในไทยจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 68 ซึ่ง secure ประมาณการรายได้รวมของในปีนี้ 60% แล้ว คงประมาณการกำไรปี 68 ที่ 2.8 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน ราคาหุ้นเทรด PER เพียง 5 เท่า จึงแนะ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 34 บาท
บล.บัวหลวงออกบทวิเคราะห์ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เข้าสู่ช่วงปลายวัฏจักรแล้ว แม้กำไตรมาสแรกปีนี้ ยังดีจากการโอนที่ดินที่ขายปี 2567 แต่แนวโน้มยอดขายใหม่ชะลอจากการย้ายฐานจากจีนที่เริ่มอิ่มตัว และยังไม่มีอุตสาหกรรมใหม่มาช่วยหนุน ขณะที่ BOI มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้นในการอนุมัติสิทธิประโยชน์เพื่อสกัดการหลบภาษีผ่านไทย ซึ่งกดดันภาพรวมในระยะถัดไป
โดยคาดกำไร AMATA ไตรมาสแรกปีนี้ที่ 674 ล้านบาท เติบโต 38% เทียบปีก่อน แต่ลดลง 38% เทียบไตรมาสก่อน ส่วน WHA คาดไตรมาสแรกปีนี้ ที่ 1.23 พันล้านบาท ลดลง 5% เทียบปีก่อนและทรงตัวเมื่อเทียบไตรมาสก่อน
อย่างไรก็ดี ในระยะถัดไปจะเริ่มเผชิญความเสี่ยงจากรายได้และอัตรากำไรที่ลดลงหลังจากนี้ โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่ากลุ่มนี้เสี่ยงถูกปรับลดประมาณการกำไรต่อเนื่องใน โดยอิงจากแนวโน้มการปรับลดกำไรช่วงขาลงในอดีต 13-19 เดือน รอบนี้คาดว่าจะเห็นในระยะเวลา 6-12 เดือน
ทั้งนี้ การประเมินใหม่ของฝ่ายวิจัยชี้ว่าแม้ในกรณีดีที่สุด กำไรปี 2568 ก็เติบโตเพียง 3–18% เท่านั้น ส่วนปัจจัยพื้นฐาน ปรับราคาเป้าหมายลงจาก 16 เหลือ 14 บาท สำหรับ AMATA และจาก 3.03 เหลือ 2.78 บาท สำหรับ WHA และคงคำแนะนำ “ขาย” ทั้งสองตัว ขณะที่ WHAUP ยังเป็นทางเลือกที่ดีกว่าด้วยรายได้ประจำและปันผลสูง ท่ามกลางภาวะที่ขาดปัจจัยหนุนใหม่
บล.พายมองมองกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม น่าสนใจสุดจากก่อนหน้าด้วยความกังวลย้ายฐานผลิต แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่งวลคือในช่วง 3 เดือนจากนี้ผู้ประกอบการทั่วโลกก็จะไม่เร่งร้อนลงทุนเพื่อรอดูผลภาษีทำให้ความเสี่ยงขาลงเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน และหากไปดูสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำพบว่ายังคงทรงตัวในด้านบนมิได้ปรับลงมาอย่างมีนัยยะสำคัญสะท้อนว่านักลงทุนยังคงมีความกังวลอยู่เช่นเดิม ดังนั้นการลงทุนอาจจะเป็นลักษณะสะสมบางส่วนจาก Valuation ที่ไม่แพงประกอบกับเก็งกำไรระยะสั้นๆในหุ้นที่ได้รับผลกระทบก่อนหน้า อาทิ ส่งออก TU และ ITC นิคมอุตสาหกรรม อย่าง AMATA และ WHA
โดยหุ้น AMATA แนะ "ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมาย 33.50 บาท เพราะมองว่าระยะสั้นได้แรงหนุนจาก Trump นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากแนวโน้มผลประกอบการปี 25 ยังคงเห็นการเติบโตได้ดี แม้ว่าบริษัทจะตั้งเป้ายอดขายไว้เพียง 2,000 ไร่ ต่ำกว่าปี 24 ที่ทำได้ถึง 3,018 ไร่ เนื่องจากยังมี Backlog ที่รอรับรู้รายได้อีกกว่า 21,000 ล้านบาท ผู้บริหารตั้งเป้าโอนในส่วนของประเทศไทยที่มีกว่า 19,000 บล้านบาท ไม่ต่ำกว่า 50% ภายในปี 25 นี้ โดยยอดขายในช่วงครึ่งหลังปี 68 ทำได้แล้ว 230 ไร่
สำหรับ WHA และให้ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 5.30 บาท เพราะหุ้นที่รับผลกระทบหนักก่อนหน้าจาก Trump ส่วนภาพรวมในช่วง ไตรมาสแรกปี 68 ในส่วนของธุรกิจที่ดินล่าสุดทาง WHA มีการให้ข้อมูลเพิ่มว่ายอดขายที่ดินจะไม่ต่ำกว่าไตรมาส 4ปี 67 ที่ทำได้ 773 ไร่ ส่วนไตรมาสแรกปี 67 ทำได้ 630 ไร่ เนื่องจากนิคมใหม่ที่ ESSIE 5 มีการเซ็นสัญญา LOI แล้วประมาณ 400 ไร่ และมีการเจรจาอีกกว่า 600 ไร่ นอกจากนี้ยังมีลูกค้าที่คาดว่าจะเซ็นสัญญาเพิ่มเติมจากปี 24 อีกกว่า 400 ไร่ ส่วนธุรกิจให้เช่ารถ EV มีการเจรจากับลูกค้าอยู่กว่า 1,000 คัน จากเป้าที่ตั้งไว้ทั้งปีที่ 1,700 คัน
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)ให้เป้าพื้นฐานหุ้น AMATA ที่ 31 บาท ประเมินราคาหุ้น Oversold มีโอกาส Rebound ประเมินแนวรับ 11.9 บาท / แนวต้าน 12.7-13.2 บาท กรณี Rebound ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 14.1 บาท (Stop loss 11.2 บาท) รับ Sentiment บวกกลุ่มนิคมฯจากล่าสุดสหรัฐเลื่อนการใช้อัตราภาษีตอบโต้กับทุกประเทศยกเว้น “จีน” ออกไป 90 วัน ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจย้ายฐานการผลิตมายังนิคมฯทั้งในไทย-เวียดนาม Valuation ถูกระดับ Crisis PBV 0.64 เท่า ต่ำสุดตั้งแต่ IPO (และต่ำกว่าระดับ Hamburger Crisis ที่0.67 เท่า)
ขณะที่กำไรรวมไตรมาส 4 ปี 67 ของ Amata Corp. (AMATA.BK/AMATA TB)* แ ล ะ WHA Group (WHA.BK/WHA TB)*) ลดลง 27% เทียบปีก่อน ทำให้กำไรทั้งปีเติบโตเป็นเลขหลักเดียว แต่มองในแง่บวก ยอดขายและยอดโอนที่ดินและกำไรรวมยังน่าประทับใจจากยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตาม
จึงปรับลดน้ำหนักลงทุนกลุ่มนิคม ฯ ลงเป็น "เท่ากับตลาด ฯ " จาก "มากกว่าตลาดฯ " เพราะปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น ซึ่งอาจทำให้แผนการย้ายฐานการผลิตถูกเลื่อนออกไป อีกทั้งเป็นไปได้ที่กำไรในอนาคตอาจเติบโตช้าลงและแผนการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสดและการแยกธุรกิจ (Spin-off) อาจล่าช้าท่ามกลางแนวโน้มตลาดหุ้นที่ไม่เอื้ออำนวย โดยปกติ ผลการดำเนินงานรายไตรมาสในครึ่งแรก จึงให้คำแนะนำ “ซื้อ” AMATA ประเมินราคาเป้าหมาย SOTP ที่ 31.00 บาท และ “ถือ” WHA ราคาเป้าหมายที่ 3.40 บาท
บล.ฟิลลิปแนะนำ "ซื้อ" หุ้น AMATA ราคาเป้าหมาย 30.50 บาท/หุ้น ซึ่งปี 67 กำไรสุทธิ 2,483 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.7% จากปีก่อน เพราะ ขาย-โอนที่ดินได้มากขึ้น มี Backlog สูงขึ้น ปัจจุบันเห็นยอดขายที่ดิน ม.ค-ก.พ. อ่อนตัวจากปีก่อน ดีมานด์อ่อนตัวลงเล็กน้อยปี 68 บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายระมัดระวังที่ 2.0 พันไร่ หรือ 34% เทียบปีก่อน ซึ่งหากเทียบกับยอดที่จะโอนได้ในปีนี้(50% ของ Backlog) อาจเห็น Backlog ลดลงในสิ้นปีอย่างไรก็ตามบริษัทจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมไปทีละไตรมาส ปี68 คาดกำไร 2,958 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 19.1% จากปีก่อน เติบโตจากโอนที่ดินมา กขึ้นและมีGPM ดีขึ้น
เนื่องจากปี 67 ยอดขายที่ดิน 3,019 ไร่ เพิ่มขึ้น 62.8% จากปีก่อน ลูกค้าหลักๆเป็นจีน แบ่งตามประเภทธุรกิจ Part supplier electronic, Data center, ส่วน Automotive เข้ามาลดลงเทียบกับ 2-3 ปีที่ผ่านมา มีรายได้ 14,724 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 54.7% จากปีก่อน เติบโตจากนิคมโอนที่ดิน 1,912 ไร่ เพิ่มขึ้น โอนในโซนระยอง 68% เวียดนาม 25% และชลบุรี 7% โอนชลบุรีสัดส่วนลดลงกว่าปีก่อน ธุรกิจสาธารณูปโภครายได้ 4,779 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จากขายไฟฟ้าในเวียดนามเพิ่มขึ้น มี GPM 35.4% ลดลง โอนที่ดินในโซนระยองสัดส่วนมากขึ้นและมีต้นทุนที่ดินสูงขึ้น และโอนที่ดินในเวียดนามที่เป็นสัญญาเก่าทำให้มี GPM ต่ำ ส่วนแบ่งกำไรลดลงจากปีก่อน เพราะมีปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า มีกำไรสุทธิ 2,483 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 31.7% จากปีก่อน มี Backlog สูงขึ้นที่ 2.1 หมื่นล้านบาท จ่ายปันผลเพิ่มอีก 0.55 บาท/หุ้น XD 13 พ.ค. 68 Div. yield 2.5%
อย่างไรก็ดี เดือน ม.ค.-ก.พ.ปี 68 ยอดขายที่ดิน 230ไร่ อ่อนตัวจากปีก่อน เล็กน้อย ลูกค้าหลักๆยังเป็นจีน อยู่ระหว่างเจรจาแผนระยะยาวกับลูกค้ารายใหญ่ 500ไร่, กลุ่ม Electronic ยังดีต่อเนื่องขณะแนวโน้มยอดขายในไตรมาสแรกปี 68 อาจอ่อนตัวจากปีก่อนและไตรมาสก่อน คาดปรับตัวดีขึ้นช่วงไตรมาส 2-3 ตามลำดับ
ทั้งนี้ ปี 68 บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ดินอย่างระมัดระวังไม่ต่ำว่า 2,000 ไร่ จะยังไม่รวมนิคมในลาวที่มีพื้นที่แล้วกว่า 900 เฮกตาร์ โดยจะค่อยๆพัฒนาขยายไปทีละ 15-100 เฮกตาร์ (94-625 ไร่) อาจเริ่มขายได้ในช่วงปลายปีเข้ามาเป็น upside รองรับลูกค้าจากจีนตอนใต้ ทั้งนี้ บริษัทจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมในแต่ละไตรมาส คาดว่าจะปรับราคาขายในโซนระยองได้ 10%
ดังนั้น บล.ฟิลลิป ประเมิน GPM ปี 68 เพิ่มขึ้น จากส่วนของเวียดนามที่โอนสัญญาใหม่ GPM จะกลับมาเป็นปกติ และใน Backlog มีนิคม Smart city ชลบุรี คาดว่าจะโอนได้ในปี นี้ซึ่งมี GPM สูงกว่านิคมอื่น ปรับคาดการณ์กำไรปี 68 เพิ่ม 11% มาอยู่ที่ 2,958 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19.1% จากปีก่อน ยังคงเห็นภาพกำไรเข้ามาช่วงครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ ราคาพื้นฐานปี68 ที่30.50 บาท/หุ้น อิง P/E 11.5 เท่าเบื้องต้นมองว่าเป้ายอดขายที่ต่ำ อาจเห็น Backlog สิ้นปีลดลง จากยอดโอนที่มากกว่ายอดขาย ปรับลดมาใช้ P/E -0.75S.D. ที่ 11.5 เท่า บวกค่าความยั่งยืนของกิจการอีก 2.8% ปรับราคาพื้นฐานปี 68 ลงมาที่ 30.50 บาท ราคาปัจจุบันยังคงต่ำกว่าระดับ P/E เฉลี่ย คงคำแนะนำ”ซื้อ”
ขณะ ฟิลลิป แนะนำ "ซื้อ" หุ้น WHAราคาเป้าหมาย 5.40 บาท/หุ้น เพราะ WHA มีแผน spin off ธุรกิจนิคม (WHAID) เข้าตลาดฯ ซึ่งจะทำให้ WHA มีสัดส่วนถือหุ้นใน WHAID และ WHAUP ลดลง มองเงินที่ได้ จะกลับมาสร้างผลกำไรต่อ WHAID หลังปี 69 ทำให้ช่วงปี 68-69 WHA อาจรับรู้กำไรลดลงไปจากคาดการณ์เดิมจากสัดส่วนการถือครองหุ้นลดลง หากมองในธุรกิจนิคม WHAID มีความน่าสนใจกว่า แต่หากมองถึงภาพรวมธุรกิจในระยะยาว WHA ยังคงน่าสนในมากสุด
โดยหลัง IPO แล้ว WHA Group จะถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมของ WHAID ที่ 75.95% ลดลงจากเดิม 22.6% และถือ WHAUP ที่ 56.78% ลดลงจากเดิม 13.76% ซึ่งโดยลักษณะของธุรกิจนิคมจะใช้ระยะเวลาพัฒนาที่นาน อาจเริ่มกลับมาเป็นผลกำไรต่อ WHAID หลังปี 69แม้การเพิ่มทุนจะเป็นประโยชน์ต่อ WHA group ในระยะยาว แต่มองในช่วงปี 68-69จะทำให้รับรู้กำไรลดลงไปจากคาดการณ์เดิมฯที่ตั้งไว้ จากสัดส่วนการถือหุ้นที่ลดลง ซึ่งยังไม่มีความแน่นอนว่าจะสามารถนำ WHAID เข้าตลาดฯได้ทันปีนี้หรือปึ69
สำหรับกำไรปี 67 WHA group ทำไว้ 4,359 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน และมีBacklog สูงขึ้นที่ 1,535 ไร่ ประกาศปันผลเพิ่มอีก 0.1237 บาท/หุ้น payout 65.4% สูงกว่าที่คาดไว้ ซึ่ง การที่ WHA ถือหุ้นลดลง ทำให้WHAID มีความน่าสนใจมากกว่าหากมองในธุรกิจนิคมที่กำลังเติบโตในปัจจุบัน แต่หากมองถึงภาพรวมธุรกิจในระยะยาว WHA ยังคงน่าสนในมากสุดเพราะยังรวมทุกธุรกิจอยู่ในงบรวม และส่วนของ WHA ยังมีธุรกิจ Logisticsซึ่งจะมีกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์เข้า REIT ในทุกปี และธุรกิจ Mobilix ที่มีโอกาสเติบโตได้รวดเร็ว โดยตั้งเป้ารถ EV ให้เช่า 20,000 คันในปี 72 คิดเป็นรายได้ 2.7 พันล้านบาทต่อไตรมาส
ขณะแนวโน้มไตรมาสแรกปี 68 ยอดโอนที่ดินเพิ่มขึ้นทั้งจากปีก่อนและไตรมาสก่อน จาก big lots ลูกค้ากลุ่ม Data center และทั้งปี 68 จะสามารถโอนที่ดินได้มากจาก Backlog ยกมาที่สูงขึ้น คาดกำไร 5,352 ล้านบาท เพิ่มขึ้น22.8% เทียบปีก่อน ซึ่ง WHAID จะมีความน่าสนใจในธุรกิจนิคมมากกว่า WHA ที่จะถูกลดทอนกำไรลงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นในระยะยาว จึงปรับลด P/E โดยใช้เฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง -1.0S.D. ที่ 14.6 เท่า บวกค่าความยั่งยืนของกิจการอีก 2.8% ปรับราคาพื้นฐานลงมาที่5.40 บาท คงคำแนะนำ "ซื้อ"