ไฟยังคงลุกไหม้เมื่อวันอาทิตย์ (27 เม.ย.) กว่า 24 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุระเบิดอย่างรุนแรงใหญ่โตมาก ซึ่งสร้างความเสียหายไปทั่วทั้งท่าเรือพาณิชย์แห่งใหญ่ที่สุดของอิหร่าน สังหารผู้คนไปอย่างน้อย 28 คน และทำให้มีผู้บาดเจ็บมากกว่า 1,000 คน ทั้งนี้ตามข้อมูลของสภาเสี้ยววงเดือนแดง ขณะที่สาเหตุของเหตุร้ายคราวนี้ถูกระบุว่าอาจเชื่อมโยงกับการขนส่งสารเคมีที่ใช้ในการผลิตเชื้อเพลิงสำหรับขีปนาวุธ
เฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินพยายามปล่อยน้ำดับเพลิงเหนือบริเวณที่ไฟไหม้ตลอดคืนวันเสาร์จนถึงเช้าวันอาทิตย์ (27 ) ที่ท่าเรือชาฮิด ราจาอี ซึ่งเป็นท่าเรือพาณิชย์ใหญ่ที่สุดของอิหร่านที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ บริเวณช่องแคบฮอร์มุซ อันเป็นเส้นทางขนส่งที่ผลผลิตน้ำมันราว 1 ใน 5 ของโลกจะต้องผ่าน
ท่ามกลางควันดำโขมงและมลพิษทางอากาศที่ทำให้หายใจลำบาก ลอยกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ โรงเรียนและสำนักงานทุกแห่งใน เมืองบันดาร์ อับบัส เมืองเอกของจังหวัดฮอร์มอซกัน ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือชาฮิด ราจาอี ไปทางตะวันออกราว 23 กิโลเมตร จึงถูกสั่งปิดทำการในวันอาทิตย์ (27) เพื่อเปิดทางให้ทางการผู้รับผิดชอบมุ่งโฟกัสที่ความพยายามกู้ภัยฉุกเฉิน ทั้งนี้ตามรายงานข่าวทางสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐ
ด้านกระทรวงสาธารณสุขก็เรียกร้องชาวเมืองให้หลีกเลี่ยงการออกมาข้างนอกอาคาร “จนกว่าจะมีประกาศแจ้งเพิ่มเติม” รวมทั้งให้สวมหน้ากากป้องกันเอาไว้
ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำอิหร่านแถลงว่า มอสโกกำลังจัดส่ง “เครื่องบินหลายลำบรรทุกพวกเจ้าหน้าที่ชำนาญพิเศษ” มาช่วยต่อสู้กับอัคคีภัย “ตามการขอร้องของทางหุ้นส่วนฝ่ายอิหร่าน”
เหตุร้ายครั้งนี้เกิดขึ้น หลังจากอิหร่านและอเมริกาเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของเตหะรานเป็นรอบที่ 3 ที่โอมานในวันเสาร์
ถึงแม้ยังไม่มีหน่วยงานหรือบุคคลใดในอิหร่านระบุว่า เการระเบิดครั้งนี้เป็นการก่อเหตุโจมตี ทว่า อับบาส อารักชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ยอมรับว่า หน่วยงานความมั่นคงมีการสั่งเตรียมพร้อมระดับสูง เนื่องจากที่ผ่านมาก็เคยมีความพยายามก่อวินาศกรรมและลอบสังหารเพื่อยั่วยุให้อิหร่านตอบโต้
ยังคงมีรายละเอียดน้อยมากเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เกิดระเบิดอย่างใหญ่โตมโหฬารที่บริเวณด้านนอกท่าเรือใหญ่ของเมืองบันดาร์ อับบาส ครั้งนี้
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ รายงานโดยอ้างอิงการเปิดเผยของแหล่งข่าวคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่านที่ขอไม่เปิดเผยชื่อว่า ต้นตอของการระเบิดคือ สารเคมีโซเดียมเปอร์คลอเรต (ชื่อตามต้นฉบับรายงานข่าวของเอเอฟพีและรอยเตอร์) ที่เป็นส่วนผสมสำคัญของเชื้อเพลิงแข็งสำหรับขีปนาวุธ
เวลาเดียวกัน สำนักข่าวเอพีอ้างคำกล่าวของ แอมเบรย์ บริษัทรักษาความปลอดภัยเอกชนแห่งสหราชอาณาจักรที่ระบุว่า ท่าเรือเมืองบันดาร์ อับบาส ได้รับสารเคมีที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงขีปนาวุธ เข้ามาเมื่อเดือนมีนาคม โดยเป็นส่วนหนึ่งของการขนส่ง แอมโมเนียม เปอร์คลอเรต (ชื่อตามต้นฉบับรายงานข่าวของเอพี) ที่จัดส่งจากจีนมายังอิหร่านด้วยเรือสินค้าสองลำ ตามที่มีการรายงานครั้งแรกโดยไฟแนนเชียลไทมส์ในเดือนมกราคม ทั้งนี้สารเคมีซึ่งใช้ทำเชื้อเพลิงแข็งสำหรับขีปนาวุธเหล่านี้ จะถูกนำไปใช้ในการเติมสต็อกขีปนาวุธของอิหร่านที่ร่อยหรอลงจากการโจมตีใส่อิสราเอลโดยตรงในสงครามกาซา
แอมเบรย์แจงว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดไฟไหม้มาจากการจัดการสารเคมีที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงแข็งของขีปนาวุธนี้อย่างไม่ถูกต้องเหมาะสม
เอพีบอกว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลการติดตามเรือของตน พบว่า เรือลำหนึ่งซึ่งเชื่อว่า บรรทุกสารเคมีดังกล่าว อยู่ใกล้ๆ ท่าเรือเมืองบันดาร์ อับบาส จริงตามที่แอมเบรย์ระบุ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า เหตุใดอิหร่านจึงไม่เคลื่อนย้ายสารเคมีไปจากท่าเรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเหตุท่าเรือเบรุตระเบิดในปี 2020 ซึ่งเกิดจากการจุดระเบิดของแอมโมเนียมไนเตรตหลายร้อยตัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 200 คน และบาดเจ็บกว่า 6,000 คน
เอพีกล่าวอีกว่า คลิปที่เผยแพร่เหตุการณ์ระเบิดบนโซเชียลมีเดียเมื่อวันเสาร์ เผยให้เห็นควันสีแดงฉานพวยพุ่งขึ้นมาจากจุดที่ไฟไหม้ก่อนที่จะระเบิด บ่งชี้ว่า สาเหตุน่าจะเกี่ยวข้องกับสารเคมีเช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่ท่าเรือเบรุต
ทางด้านกระทรวงกลาโหมอิหร่านได้แถลงปฏิเสธรายงานข่าวของสื่อระหว่างประเทศที่ว่า การระเบิดคราวนี้อาจมีความเชื่อมโยงกับความบกพร่องผิดพลาดในการขนถ่ายจัดเก็บเชื้อเพลิงแข็งของขีปนาวุธ โดยที่โฆษกผู้หนึ่งของกระทรวงได้กล่าวกับโทรทัศน์แห่งรัฐว่า รายงานข่าวดังกล่าวเป็นฝีมือการปฏิบัติการทางจิตวิทยาของศัตรู พร้อมกับยืนยันว่าพื้นที่ซึ่งเกิดการระเบิดคราวนี้ไม่ได้มีการจัดเก็บสินค้าทางทหารใดๆ
สำหรับสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการอิหร่านรายงานเมื่อคืนวันเสาร์ว่า สำนักงานศุลกากรอิหร่านระบุว่า สต็อกสินค้าและสารเคมีอันตรายที่จัดเก็บในบริเวณท่าเรือคือสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ที่มีความรุนแรงและรับรู้ได้ไกลถึง 50 กิโลเมตร รวมทั้งทำให้อาคารส่วนใหญ่บริเวณท่าเรือเสียหายรุนแรง แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ
ภาพจากมุมสูงที่สื่ออิหร่านเผยแพร่หลังการระเบิดพบว่า มีไฟลุกไหม้หลายจุดในท่าเรือ และในเวลาต่อมากระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศจากสารเคมี เช่น แอมโมเนีย ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์ และขอให้ประชาชนงดออกจากบ้านหรืออาคารจนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม รวมทั้งขอให้สวมหน้ากากป้องกัน
นอกจากนั้นยังมีภาพบนโซเชียลมีเดียที่เป็นภาพความเสียหายของอาคารที่อยู่ห่างจากศูนย์กลางของการระเบิดหลายกิโลเมตร ขณะที่สถานีทีวีของทางการรายงานว่า แรงระเบิดทำให้อาคารแห่งหนึ่งถล่ม
ประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียนของอิหร่าน แสดงความเสียใจต่อผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ และสั่งการให้เร่งสอบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุร้ายแรงครั้งนี้
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย ปากีสถาน อินเดีย ตุรกี และสหประชาชาติ ต่างแสดงความเสียใจและเป็นกำลังใจให้อิหร่าน ขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แสดงความเสียใจสุดซึ้งต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นและเสนอให้ช่วยความช่วยเหลือแก่เตหะราน
ทั้งนี้ ท่าเรือชาฮิด ราจาอี เคยตกเป็นเป้าหมายการโจมตีมาก่อน เช่น เมื่อปี 2020 ที่มีการโจมตีทางไซเบอร์ซึ่งเชื่อว่า เป็นฝีมืออิสราเอล โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากอิสราเอลเผยว่า ได้ทำลายแผนการโจมตีทางไซเบอร์ของอิหร่านที่พุ่งเป้าโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำประปาของตน
(ที่มา: เอเอฟพี/เอพี/รอยเตอร์)