xs
xsm
sm
md
lg

อนิจจัง ครม.อุ๊งอิ๊งค์ นะจังงัง…สารพัดโผ เย็นพอรอได้ถีบส่ง ภท.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:




ตัดจบข่าวลือการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วยโคลงกลอนโบราณ ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้า และไม่น่าหล่นออกจากปาก “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ผู้มีภาพลักษณ์เป็นคนรุ่นใหม่ ที่จารึกประวัติศาสตร์เป็นนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดของไทย ซักเท่าไร


“ที่จริงใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง ไม่ว่าตำแหน่งอะไร ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีก็เช่นกัน ไม่ใช่แค่ตำแหน่งของใครคนใดคนหนึ่ง เราควรทำใจให้นิ่งไว้”

คำตอบต่อข้อถามเรื่องกระแสข่าวการปรับ ครม. ของ “นายกฯ อิ๊งค์” ที่บ่ายเบี่ยงเลี่ยงตอบมาตลอดช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์
ก่อนจะมาตอบโดยเปิดหัวด้วยบาทแรกของโคลงอมตะบทหนึ่งของวรรณกรรม “ลิลิตพระลอ” อันเป็นวรรณกรรมระดับขึ้นหึ้ง ที่คาดว่าแต่งขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา และจนปัจจุบันก็ยังไม่ทราบชื่อผู้แต่ง โดยถ้อยความเต็มๆ ของโคลงบทดังกล่าวมีว่า
“ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง
คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่น อยู่นา
ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อรักษา”


แปลความไม่ยากได้ว่า ไม่มีความแน่นอนในทุกสิ่ง มีเพียงบุญและบาปที่จะติดตัวไปตลอด คำสำคัญของโคลงบทนี้ ก็ไม่พ้นคำว่า “อนิจจัง“ อันไปคล้องกับหลัก “ไตรลักษณ์ 3” หรือสามัญลักษณะ ที่แปลว่า กฎธรรมดาของสรรพสิ่งทั้งปวง ประกอบด้วย “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” คำสอนในพุทธศาสนา ที่ต้องการให้คนไม่ยึดติด

ถือเป็นคำที่ลึกซึ้งพอสมควรสำหรับใช้ตอบคำถามทางการเมือง โดยเฉพาะประเด็นการปรับ ครม.ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก อาจเป็นเหตุทำให้ “นายกฯ อิ๊งค์” ต้องขอเวลาไปใคร่ครวญข้ามวันเพื่อตอบคำถาม ก่อนตกผลึก ไม่ว่าจะคิดเอง หรือคณะที่ปรึกษาเลือกใช้บาทแรกๆ ของโคลงอมตะท่อนนี้มานำคำตอบ

แต่อีกแง่ ก็ไม่อาจละทิ้งข้อสันนิษฐาน ”พูดไปเรื่อย-ตอบส่ง“ ไม่ได้เจาะลงสื่อความหมายใดๆ ด้วยวลีหรือประโยคที่ไม่เข้ากับบุคลิกของตัวเอง อีกทั้งความหมายจริงๆ ก็ไม่ได้เจ้ากับคำถามที่ประสงค์ถามนายกฯ ว่าจะมีการปรับ ครม.ตามกระแสข่าวหรือไม่ และถ้ามีการปรับ ครม.จะปรับโดยเหตุผลความจำเป็นใดเป็นพิเศษ

เป็นอารมณ์พูดไปเรื่อยเปื่อย ไร้แก่นสาร เหมือนอย่าง ”เสี่ยหนู“ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ทำให้เห็นเป็นประจำ อย่างกรณี ”อนิจจัง“ก็ไม่พลาดที่จะนำเอาโคลงที่ดัดแปลงในทางหักมุมขบขันมาท่องให้สื่อมวลชนฟัง ทั้งที่เนื้อหาไม่ได้เกี่ยวกันเลย แถมยังถูกตีความว่า เหน็บแนมไปถึงเรื่องในอดีตของ “นายกฯน้อง อิ๊งค์” อีกด้วย

ในความเป็นจริง “แพทองธาร” ไม่ต้องเสียเวลาร่ายกาพย์กลอนให้ดูมีอะไรในกอไผ่ สามารถตอบตรงๆ เหมือนที่เคลียร์คัทชัดเจนกับกระแสข่าวการเขี่ย “พรรคภูมิใจไทย” พ้นรัฐบาล และดึง “พรรคพลังประชารัฐ“ กลับเข้ามาเสียบแทน ที่ระบุว่า “คำถามนี้แรง ยังไม่มีอย่างนั้นนะคะ ตอนนี้ทุกอย่างเหมือนเดิมอยู่”

เอาว่าเร็วๆ นี้คงยังไม่มีการปรับ ครม. อย่างที่ผู้ถืออำนาจสิทธิ์ขาดในการลงนามทูลเกล้าฯ รายชื่อ ครม.ชุดใหม่ไว้ก็จริง แต่ไม่ช้าไม่นานก็ต้องมีการปรับเปลี่ยน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านการบริหารประเทศ หรือเหตุผลทางการเมือง
โดยที่ในวงเล็บต้องมีว่า เหตุผลใดๆ ต้องไม่หนักหนาสาหัสถึงขั้น “ยุบสภา” อันเป็นอีกอำนาจสิทธิ์ขาดของ “แพทองธาร” เช่นกัน
แต่เชื่อว่า ในยามงวดเข้าใกล้ครึ่งเทอมของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ ทั้งในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และหัวหน้ารัฐบาล ที่ยังไม่มีผลงานใดๆจับต้องเป็นรูปธรรม รุมเร้าด้วยปัญหาใน-นอกประเทศที่ยังคิดไม่ตก คะแนนนิยมก็ไม่เห็นแววจะพุ่งเหมือนราคาทองคำ คงยังไม่อยากเปิดการ์ด “ยุบสภา” หากไม่ถึงตาจนจริงๆ
ด้วยแค่ 6 เดือนของ ครม.ชุดนี้ก็เห็นได้ชัดว่า เต็มไปด้วยปัญหา ปัญหา และปัญหา ที่หากนายกฯ ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ป่านนี้อาจปรับ ครม.ไป 1-2 รอบแล้วด้วยซ้ำ

การที่ “นายกฯ อิ๊งค์” ยังไม่ปรารถนาที่จะปรับ ครม.ก็ใช่ว่า ไม่มีเหตุผลเพียงพอหรือตั้งใจจะเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงได้ทำงานอย่างเต็มที่ก่อนค่อนตัดสินใจ แต่ด้วยปัจจัยยังไม่เอื้อให้การปรับ ครม.เป็นมรรคผลเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ หากเปิดการ์ดปรับ ครม.เร็วเกินไป ก็ไม่แก้ปัญหาทั้งทางการเมือง และการทำงาน กลายเป็นแค่ “เก้าอี้ดนตรี” หมุนเวียนผลัดหน้ามาติดบั้ง “เสนาลดี” เท่านั้น

อีกทั้ง “อุ๊งอิ๊งค์” ที่แม้จะอ่อนพรรษาการเมือง แต่ก็มองออก หรือมีใครบอกว่า แทบทุกตรงของรัฐบาลล้วนมี “คลื่นใต้น้ำ” ที่พร้อมจะขยับทุกเมื่อเพื่อช่วงชิงเก้าอี้แห่งอำนาจ-ผลประโยชน์ที่มีจำกัดแค่ 35 ที่นั่งต่อรอบเท่านั้น

เป็นธรรมดาที่คนตัดสินใจไม่ต้องการให้เกิด “แรงกระเพื่อม” ทั้งภายในพรรคเพื่อไทยเอง หรือระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะประเด็นขัดแย้งกับ “ค่ายสีน้ำเงิน” พรรคภูมิใจไทย ที่หากมีการขยับใดๆ ย่อมทำให้เกิดแรงกระเพื่อมจากพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ด้วย

อนุทิน ชาญวีรกูล

แพทองธาร ชินวัตร
ไม่ต้องอื่นไกล ทั้งๆ ที่ “นายกฯ อิ๊งค์” ซึ่งควบตำแหน่ง “หัวหน้าอิ๊งค์” ด้วย พูดค่อนข้างชัดว่า ทุกอย่างเหมือนเดิม ยังไม่มีการปรับ ครม. สอดรับกับ “พ่อนายกฯ” ผู้ที่เชื่อกันว่ามีอำนาจตัดสินใจเหนือ “ลูกสาว” ที่ยืนยันทำรนองเดียวกันไเมื่อไปพักผ่อนเทศกาลสงกรานต์ที่บ้านเกิด จ.เชียงใหม่

ขนาด “พ่อ-ลูก” พูดค่อนข้างชัดแล้ว จนแล้วจนรอดก็ยัง “โผ ครม.” ปลิวว่อนออกมาจาก “คนเพื่อไทย” ในอารมณ์ปรับไม่ปรับไม่รู้ ขอเขย่าไว้ก่อน เดาไม่ยาก มักมาจากบรรดา “สำรอง 1-สำรอง 2” หรือพวกที่คอยอยู่ใน Waiting List หลายคนวอร์มร่างกายตัดชุดรอนานแล้ว หากมีการปรับคนในโควตาพรรคออก ก็พร้อมลงสนามเสียบแทนทันที

ทว่า ที่อุตส่าห์ปั่นจะหลุดมาบนหน้าสื่อดูจะไม่มีน้ำหนักหลายจุด ทั้งการเปลี่ยน รมว.กลาโหม ที่ไม่มีรัฐบาลไหนทำกันบ่อยๆ หรือการดึงอดีตรัฐมนตรีที่เพิ่งหลุดออกไปกลับเข้ามาอีกรอบ ทั้งที่ “ว่าที่รัฐมนตรี” ต่อแถวกันหน้าสลอน ก็ไม่มีใครทำกันอีกเช่นกัน

โดยเฉพาะสไตล์ “เถ้าแก่โทนี่” ที่ถือว่าให้ตำแหน่งแล้ว จะอยู่นานอยู่สั้น ก็ถือว่าใช้หนี้ที่เคยตกปากรับคำไว้แล้ว หากอยากกลับมาก็รอลุ้นอีกทีหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า

และเชื่อว่าหลังจากนี้จะมีอีกหลายโผ ครม.ทั้งโผปล่อย-โผเสี้ยม-โผมโน ออกมาแบบสารพัดโผ จนบางทีคนทำโผยังอาจหลงลอกตามเลยด้วยซ้ำ

ยิ่งเมื่อเหตุผลทางการเมือง ที่ไม่พ้นต้องคำนึงถึงตัวเลขคณิตศาสตร์ในสภาผู้แทนราษฎร ก็ยิ่งเป็นข้อจำกัดให้การปรับ ครม.งวดหน้าต้องชะลอไปก่อน เพราะความปรารถนาที่จะบอกเลิกแยกทาง “เซราะกราวสีน้ำเงิน” พรรคภูมิใจไทยที่มี 69 สส.ออก หรือการจะริบเก้าอี้ รมว.มหาดไทย คืน อาจทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ถึงครึ่งคืนแล้วต้องมีอันเป็นไปด้วยซ้ำ

เรื่อง ชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.สำนักนายกฯ มือกฎหมายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ฉายภาพสถานการณ์ให้เห็นว่า “มันมีคณิตศาสตร์การเมือง ที่เกี่ยวโยงกับสถานการณ์ทางการเมือง ความมั่นคงทางการเมือง ถ้าเอาพรรคนั้นออกจะเหลือตัวเลขเท่าไหร่ คนทำงานการเมืองต้องดูเรื่องนี้ มาวิเคราะห์ว่าควรจะเป็นอย่างไร แต่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีรัฐบาลไหนที่เสี่ยงจนถึงขั้นไปตายเอาดาบหน้า ทางการเมืองถือว่าเสี่ยงเกินไป ฉะนั้น ถ้าทำอะไรให้เรียบร้อย พอจะไปกันได้ ก็ต้องว่ากันไป"

หมายความว่า ถ้าวันนี้จู่ๆ นึกคึกและทนไม่ไหวกับ พรรคภูมิใจไทย ปรับออกไป โดยไม่ได้เสียง สส.จากฝ่ายค้านเข้ามาเติมแทน รัฐบาลเพื่อไทย ก็จะมีเสียงปริ่มน้ำ พ้นกึ่งหนึ่งราว 10 เสียงเท่านั้น

เป็นรูปการณ์ที่รัฐบาลแทบไม่สามารถคุมเกมเสียงโหวตในสภาผู้แทนฯ ได้ ยังไม่ต้องพูดไปถึงการลงมติในการประชุมร่วมรัฐสภา หรือหากถูลู่ถูกังผ่าน ”สภาล่างฯ“ ไปได้ ก็ไม่พ้นโดนตบคว่ำในชั้น “สภาสูง” ที่เต็มไปด้วย ”สว.สีน้ำเงิน“ เท่ากับว่าฝ่ายรัฐบาลเสนออะไรเข้าสภาฯ ก็ต้องถูกตีตกอย่างแน่นอน

เมื่อฝ่ายบริหาร-ฝ่ายนิติบัญญัติ ทำงานไม่ได้ นายกฯ ก็มีทางเลือกแค่ ”ลาออก-ยุบสภา“ สรุปมีแต่เจ๊งกับเจ๊ง หากรีบร้อนกับทางเลือกนี้

บีบให้ “ค่ายแดง-ค่ายน้ำเงิน” ก็เลยต้องจำใจเป็นคู่ตุนาหงัน-หนามยอกอก ด้วยความสัมพันธ์ ”ตบๆ จูบๆ“ กันต่อไป

ก็เลยทำให้ “พ่อ-ลูกชินวัตร” ต้องพับแผนยกเครื่อง ครม.ชุดใหญ่ถีบส่ง “ค่ายน้ำเงิน” ไปเป็นฝ่ายค้าใส่เข้าลิ้นชักบ้านจันทร์ส่องหล้าไว้ก่อน
พร้อมท่องคาถา “เย็นให้พอ รอให้ได้” คอยสะกดใจว่ายังไม่ถึงเวลาแตกหัก ด้วยระหว่างนี้ช่วงปิดสมัยประชุมรัฐสภา ปกติจะถือเป็นช่วงเว้นวรรค ไม่ค่อยมีการกระทบกระทั่งในทางการเมืองเท่าไร

ส่องเกมในกระดานจะมีสุ่มเสี่ยงต้องปะทะกันอีกที ช่วงปลายเดือน พ.ค.นี้ ที่จะมีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญช่วงสั้นเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ที่ต้องดูใจ พรรคเพื่อไทย ว่าจะเสียบร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ฯ ที่ยังคาอยู่ในวาระประชุมสภาผู้แทนฯเลยหรือไม่

ตามข่าวว่า ยังไม่มีสัญญาณให้รุกหนักเหมือนคราวก่อนเพราะปัญหาหลายด้านรุมเร้ารัฐบาล ยังไม่ต้องการเร่งอุณหภูมิทางการเมืองขึ้นอีก เมื่อปัจจัยต่างๆยังไม่เอื้อ

ขณะเดียวกันต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับบางความเคลื่อนไหวนอกกระดานที่คล้ายกับตั้งใจ “ยั่วโมโห” อย่างการที่จู่ๆ ก็มีแอคชันจาก “เฮียตือ” สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และอดีต สส.หลายสมัย ที่วันนี้ไร้ตำแหน่งแห่งที่เป็นทางการ แต่ก็มีสถานะเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของ “ภราดร-กรวีร์” 2 สส.ภูมิใจไทย

โดยคนพี่ “ภราดร” เพิ่งเถลิงบัลลังค์รองประธานสภาฯ ตามรอยพ่อ และก็เพิ่งทิ้งบอมบ์เล็กๆ ว่า อาจไม่ใีสมัยประชุมหน้า กลางที่ประชุมสภาฯ ที่ตีความไม่พ้น “ยุบสภา” ก่อนจะออกมาแก้ตัวพัลวัน

ครางนี้เป็น “ป๊าตือ” ที่ทิ้งข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ถ้าผู้นำประเทศ เป็นเพียงแค่ "สัญลักษณ์" ยากเหลือเกินที่จะนำพาประเทศก้าวข้ามความยากลำบากไปได้ เราต้องกาารมืออาชีพ ที่ปกครองได้ บริหารเป็น ความมืดมนอนธกาล ช่างน่ากลัวยิ่งนัก”

อ่านผ่านๆ ก็มองได้ว่าเป็นความห่วงใยบ้สนเมืองของผู้อาวุโส แต่เมื่อฉาบด้วยสถานะ “พ่อ สส.ภูมิใจไทย” ก็มองไม่พ้นต้องมีเป้าประสงค์ทางการเมืองบางประการ โดยที่มุ่งวิพากษ์เชิงลบไปที่ “หลานอิ๊งค์” ที่คือผู้นำประเทศ และเป็นสัญลักษณ์ของ “ตระกูลชินวัตร” ในวันนี้

แทบจะรุนแรงในระนาบเดียวกับ “ลูกนก” ไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นมาอวดสถานะลูกชายคนโตของ “เนวิน-กรุณา ชิดชอบ” ประกาศขวาง “กาสิโน” อันหมายถึงการไม่เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ฯ เรือธงลำใหม่ของพรรคเพื่อไทย ที่ส่งมาจาก “บ้านใหญ่เขากระโดง” ทั้งที่ “พ่อเน” ก็เพิ่งไปปรับความเข้าใจกับ “นายใหญ่” ที่บ้านจันทร์ส่องหล้ามาแท้ๆ

เป็น 2-3 ดอกติดๆ ที่ พรรคภูมิใจไทย พยายามตอด-เจาะยาง พรรคเพื่อไทย ที่อาจไม่ถึงขั้น “ชักธงรบ” แต่ก็รู้อยู่ว่าต้องมี “ขุ่นเคือง” กันบ้าง ซึ่งเป็นท่าทีที่ไม่ค่อยเห็นจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน

ที่กล้าฮืออือไม่ “ตามน้ำ” ตามปกติวิสัย ก็เพราะ “น้าเน” มั่นใจว่า “ไพ่ในมือ” ทั้ง สส.-สว.สีน้ำเงิน ที่อาจไม่ทำให้เข้าป้ายเบอร์ 1 แต่ก็มีฤทธิ์พอที่จะพาให้ “พรรคแกนนำ” เสียเรื่องถึงขั้น “เจ๊งคามือ” ได้เลย

ตรงนี้เองที่ “ขาใหญ่เซราะกราว” กล้าโชว์อหังการ์โดดขี่คอ “บ้านใหญ่จันทร์ส่องหล้า” อยู่เนืองๆ

แต่อำนาจต่อรองของ “ค่ายน้ำเงิน” ก็มี “จุดเปลี่ยน” คอยท่าอยู่อย่างน้อยๆ 2 คดีสำคัญ ทั้งกรณี “44 สส.ก้าวไกล” ที่ร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มีคดีจริยธรรม เป็น “ดาบสอง” จากคดียุบพรรค อยู่ในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่แว่วว่า จะได้บทสรุปเร็วๆ นี้

ซึ่งในจำนวนนี้มี 25 ชีวิตที่เป็น สส.ปัจจุบัน และ “ค่ายส้ม” พรรคประชาชน ก็ดูจะทำใจแล้วว่า ต้องเสีย สส.ไม่มากก็น้อย ตาม 4 เลเวลที่ ป.ป.ช.จัดกลุ่มไว้

ตามข่าวจะมีอย่างน้อย 12 สส.ที่อยู่ในกลุ่ม “พฤติการณ์พิเศษ” หรือร้ายแรงที่สุด จะถูกตัดสิทธิทางการเมือง ล้วนแต่เป็น สส.ตัวหลัก-ตัวตึง อาทิ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยศิริกัญญา ตันสกุล-วิโรจน์ ลักขณาอดิศร-รังสิมนต์ โรม เป็นต้น

เอาแค่ฝ่ายค้านไป 12 เสียง ที่ส่วนใหญ่เป็ย สส.บัญชีรายชื่อ โดยไม่สามารถเลื่อนใครขึ้นมาแทนได้ ก็ทำให้เสียง “ขั้วรัฐบาล” ทิ้งห่างออกไปจนอาจพูดได้ว่ทอยูาใน “เซฟโซน” เท่ากับทำให้แต้มต่อ “ค่ายน้ำเงิน” ลดลงไปโข

ตามต่อด้วย “คดีโพยฮั้ว สว.” ที่มีทั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในส่วนของการทุจริตเลือกตั้ง และคดีฟอกเงินและคดีอั้งยี่ซ่องโจรในชั้น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งว่ากันว่า ตามพยานหลักฐานสามารถเอา สว.ชุดนี้ออกแบบ ”ยกเข่ง“ ตีว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะได้ แต่ก็อาจเกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองอย่างรุนแรง

ข่าวว่าอาจเลือก ”กดปุ่ม“ ใช้วิธีตัดสิทธิ์ชุดละ 4-5 คน เพื่อเปิด ”เกมดูด“ ให้บรรดาท่าน สว.เลือก ”แปรพักตร์“ สลัดเสื้อสีน้ำเงินทิ้ง เพื่อรักษาความเป็นผู้ทรงเกียรติไว้ต่อไป เมื่อเสียง สว.สีน้ำเงินลดลงจนไม่สามารถกุมสภาพได้เหมือนในตอนนี้ ก็เท่ากับสยบอหังการ์ “ค่ายสีน้ำเงิน” และโดยเฉพาะ “บ้านใหญ่เขากระโดง” ได้อย่างเบ็ดเสร็จ

ถึงคราวนั้นตามประสา “นายใหญ่จันทร์ส่องหล้า” ก็คงยังไม่ถึงขั้น “หักดิบ” เฉดหัวพ้นพรรคร่วมรัฐบาลในทันทีทันใด ต้องเปิด “ดีลใหม่” ตามแต้มต่อในมือ หากลงตัวตัวก็ยังพอไปด้วยกันได้

อย่างว่า “ทักษิณ” แม้จะสุมแค้นขนาดไหน ก็รู้มือรู้อิทธิฤทธิ์ “เนวิน” คงไม่ถึงขั้นปล่อยไปเพ่นพ่านอาละวาดอยู่นอกรั้วสุ่มเสี่ยงอำนาจกระเด็นจากมือ

จนอาจต้องเปลี่ยนจาก “รัฐบาลอนิจจัง” มานั่งหัวชนกันฟังสวด “อะนิจจา วะตะ สังขารา…” ตามบท “บังสกุลตาย” ที่ขึ้นต้นและความหมายคล้ายกันในงานฌาปนกิจรัฐบาล.
กำลังโหลดความคิดเห็น