หลายคนสังเกตเห็นมานานหลายเดือนแล้ว สำหรับสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนใต้ ว่ากลับมารุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเกิดขึ้นในช่วงที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล และรุนแรงหนักหน่วงขึ้นมาในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้เอง และหากสังเกตให้ดี จะเห็นว่าความรุนแรงจะเกิดขึ้นหลังจากที่ นายทักษิณ ชินวัตร ได้จับมือกับ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เข้ามาเป็น “แม่งาน” แก้ปัญหา ถึงกับประกาศว่า “ปัญหาชายแดนใต้ ต้องจบภายในปีนี้”
ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร สร้างการรับรู้ว่าเขาได้รับการต่างตั้งจากนายอันวาร์ ในฐานะประธานอาเซียน ให้เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ ประธานอาเซียน และภารกิจแรกๆของเขาก็จะเป็นเรื่องการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ หากจำกันได้ นายทักษิณ ลงพื้นที่ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยมีการฉายภาพให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่อลังการ เพราะมีระดับรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อย่าง นายภูมิธรรม เวชยชัย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ฝ่ายความมั่นคงจากฝ่ายรัฐบาล กองทัพ และในพื้นที่มาร่วมต้อนรับ และร่วมประชุมรับฟังแนวทางการแก้ปัญหาอย่างพร้อมหน้า
โดยนายทักษิณ ได้เดินทางไปที่จังหวัดนราธิวาส มีการพบปะผู้นำศาสนา ทั้งพุทธและมุสลิม ในพื้นที่ อย่างไรก็ดีก่อนที่เขาจะเดินทางไปถึง ก็ได้เกิดเหตุลอบวางระเบิด และลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีกหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เกิดเหตุลอบวางระเบิดใกล้กับสนามบินนราธิวาส ก่อนที่เขาจะเดินทางไปถึงเพียงไม่นานนัก แม้ว่าจะเป็นการข่มขู่ให้เป็นข่าว แต่ก็เป็นสัญญาณในทางลบให้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี การลงพื้นที่ของนายทักษิณ ครั้งนั้น ถือว่ามีเป้าหมายในเชิงการเมืองอย่างชัดเจน ทางหนึ่งเหมือนกับการมา “แก้มือ” จากความผิดพลาดในอดีตจนทำให้ “ไฟใต้ลุกลาม” มาจนถึงทุกวันนี้ เพราะตามรายงานระบุว่า มีการเตรียมปรับปรุงกฎหมายเพื่อสร้างสันติสุขชายแดนใต้ ด้วยการเตรียมเสนอกฎหมายที่เป็นลักษณะคล้ายกับ คำสั่ง 66/23 ในอดีต รวมไปถึงการ “ร่างแผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่” และมีการแต่งตั้งหัวหน้าคณะเจรจาคนใหม่ขึ้นมา พร้อมกันนี้ ยังให้บทบาทการอำนวยความสะดวกกับทางมาเลเซีย โดยเฉพาะนายอันวาร์ อิบราฮิม อย่างเต็มที่
ที่สำคัญ นายทักษิณ ชินวัตร ถึงกับมั่นใจว่าจะสามารถแก้ปัญหาให้จบภายใน 1 ปี โดยกล่าวว่า “ปัญหาจะต้องดีขึ้น และอาจจบลงภายในปลายปีนี้”
แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลังจากที่นายทักษิณ ชินวัตร กลับไปแล้ว และเวลานี้กำลังทำตัวเป็น“ขาใหญ่” สร้างสันติภาพในเมียนมาร์ มีการนัดคุยกับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่องหล่าย ผู้นำรัฐบาลทหาร และมี นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เรียกความสนใจจากสื่อไปพอสมควร
แต่สำหรับสถานการณ์ทางภาคใต้ เวลานี้ กลับรุนแรงขึ้นทุกวัน มีการลอบโจมตีเจ้าหน้าที่ ลอบวางระเบิดสถานที่ราชการ ทำร้ายชาวบ้าน มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง รุนแรงมากขึ้นทุกที และล่าสุดเกิดเหตุลอบทำร้ายสามเณร จนเสียชีวิต มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง สร้างความตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
จากรายงานของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เพิ่งระบุ เมื่อวันที่ 23 เมษายน ถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ขณะนี้ ว่า ห่วงใยสถานการณ์ และเห็นลักษณะการทำงานที่ถูกโจมตีเป็นรายวัน ซึ่งบางวันมีการก่อเหตุ 2-3 ครั้ง ในรอบ 4-5 วัน ที่ผ่านมา
โดยจากสถานการณ์ดังกล่าวตนได้หารือกับ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ผ่านทางโทรศัพท์ เนื่องจากขณะนี้ติดภารกิจอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ว่า อยากให้มีการปรับเปลี่ยนการทำงานเป็นรูปแบบเชิงรุก และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ไม่ใช่การตั้งรับเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ ยังได้พูดคุยกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ซึ่งอยากให้ ผบ.ทบ.และ ผบ.ตร. ได้ประสานงานกัน อีกทั้งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ยังได้หารือกับ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรส่วนหน้า ครอบคลุมโครงสร้างทั้งฝ่ายตำรวจภูธรภาค 9, ทหาร และกระทรวงมหาดไทย รวมถึงได้พูดคุยกับรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายความมั่นคง รวมไปถึงเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ผ่านระบบซูม ซึ่งตนเองได้แสดงความห่วงใยและได้สั่งการว่า ต้องมีความเปลี่ยนแปลง ต้องยุติสถานการณ์ต่างๆ ให้ได้ ซึ่งได้ให้ไปวางแผนว่า จะมีมาตรการเชิงรุกอย่างไร
“จะต้องสร้างความมั่นใจ ให้กับประชาชนที่เผชิญเหตุการณ์ไม่สงบ ไม่ใช่ว่า ไปยิงประชาชน หรือสามเณร เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น และได้สั่งการให้ต้องระงับสถานการณ์ และทำหน้าที่ ใช้ยุทธการ ไม่ใช่นั่งอยู่กับที่ และให้ผู้ก่อเหตุเข้ามาเอง ต้องระงับยับยั้งสถานการณ์ให้จบโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม นโยบาย หากมีอะไรเกิดขึ้นสามารถรายงานตรงมาที่ตนเองได้ทันที” รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงระบุ
แน่นอนว่า หากกล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนใต้ ที่ถือว่า “เริ่มลุกเป็นไฟ” มาตั้งแต่ยุคที่ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 2544 และต้องย้อน “แบ็กกราวด์” ในอดีต โดยมี 3 เหตุการณ์สำคัญ ที่ยังต้องจดจำกันมา นั่นคือ "การปล้นปืนในค่ายทหาร เหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ และ โศกนาฏกรรมตากใบ" ที่ทุกเหตุการณ์ดังกล่าวล้วนเกิดขึ้นในปี 2547 ที่มีระยะห่างกันเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แทบจะเปรียบเทียบได้ว่า “กองศพสูงเป็นภูเขา” กันเลยทีเดียว
ขณะเดียวันหากจะว่าไปแล้ว เหตุการณ์ความรุนแรง ทั้งเหตุการณ์เผาโรงเรียน เผาสถานที่ราชการ และเหตุการณ์ปล้นปืน ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2544 และเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2545 จนกระทั่งลุกลามบานปลายในปี 2547 ที่มาพร้อมกับวาทกรรมของ นายทักษิณ กับคำว่า “โจรกระจอก” และ “ทหารสมควรตาย” ที่เขากล่าวหลังเกิดเหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่
นั่นคือ จังหวัดชายแดนใต้ ในช่วงตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นยุคของรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่เรียกว่า “ลุกเป็นไฟ” มากที่สุด
ดังนั้นการกลับมาอีกรอบของ นายทักษิณ ชินวัตร เที่ยวนี้ โดยเข้ามามีบทบาทชี้นำแก้ปัญหา ซึ่งก่อนหน้านี้หลายคนหวังว่าเขาคงสรุปบทเรียน และรับรู้ข้อมูลที่ดีพอ โดยหวังว่าเหตุการณ์ร้ายคงไม่กลับมาหลอนอีก แต่กลายเป็นว่า ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม เนื่องจากสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นมาอีก สะท้อนให้เห็นว่า ในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ นายทักษิณ ทุกอย่างดูแย่ไปหมด!!