รัฐมนตรีคลัง สกอตต์ เบสเซนต์ ของสหรัฐฯ กล่าวยอมรับระหว่างกล่าวปราศรัยแบบเป็นการภายในเมื่อวันอังคาร (22 เม.ย.) ว่า การประจันหน้าเล่นงานจีนด้วยภาษีศุลกากรที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ เป็นสิ่งที่ไม่อาจกระทำอย่างยืนยาวได้ และเขาคาดหมายว่าจะมี “การลดระดับ” ในสงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศที่เป็นเจ้าของระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 และอันดับ 2 ของโลก
แต่ในการกล่าวปราศรัยเป็นการภายใน ณ งานของแบงก์ยักษ์ เจพี มอร์แกน เชส ในกรุงวอชิงตัน คราวนี้ เบสเซนต์ยังแสดงท่าทีระมัดระวังด้วยโดยชี้ว่าการพูดจากันระหว่างสหรัฐฯกับจีนยังไม่ได้มีการเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรที่จัดเก็บจากสินค้านำเข้าของจีนในอัตรา 145% และทางปักกิ่งก็ตอบโต้เอาคืนด้วยการขึ้นภาษีเก็บจากสินค้าอเมริกันในอัตรา 125% นอกจากนั้นทรัมป์ยังได้ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรกับประเทศคู่ค้ารายอื่นๆ อีกหลายสิบประเทศ ถึงแม้ต่อมาได้สั่งชะลอเอาไว้ก่อน แต่ก็กลายเป็นสาเหตุทำให้ตลาดหลักทรัพย์ไหลรูด และอัตราดอกเบี้ยก็ขยับสูงขึ้นในตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ เนื่องจากพวกนักลงทุนวิตกกังวลว่าสงครามภาษีและความไม่แน่ไม่นอนในนโยบายการค้าของสหรัฐฯกำลังทำให้อัตราเติบโตของเศรษฐกิจอเมริกันชะลอตัว จนอาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ ในเวลาเดียวกับที่แรงกดดันด้านภาวะเงินเฟ้อก็สูงขึ้น
สำนักข่าวเอพีระบุว่า รายละเอียดดังกล่าวของคำปราศรัยเป็นการภายในของเบสเซนต์ครั้งนี้ ทางเอพีได้รับการยืนยันจากบุคคล 2 คนซึ่งคุ้นเคยกับคำปราศรัยนี้ แต่ยืนยันขอให้ทางสำนักข่าวสงวนนาม
“ผมต้องขอพูดเลยว่า จีนกำลังทำตัวเป็นฝ่ายนิ่งเฉยในเรื่องของการเจรจากัน” เบสเซนต์บอก ทั้งนี้ตามต้นฉบับคำปราศรัยของเขาที่เอพีได้รับมา แต่เขากล่าวต่อไปว่า “ทั้งสองฝ่ายไม่มีฝ่ายไหนเลยที่คิดว่าการรักษาสถานะเดิมเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้อีกต่อไป”
ปรากฏว่าดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ในตลาดหลักทรัพย์แดสแนค พุ่งขึ้น 2.5% ภายหลังสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานคำพูดเช่นนี้ของเบสเซนต์เป็นรายแรก
ทางด้าน ทรัมป์ นั้น แสดงการรับทราบการทะยานขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ ระหว่างที่เขาพูดกับพวกผู้สื่อข่าวในเวลาต่อมาของวันอังคาร (22) นั้นเอง ทว่าเขาหลีกเลี่ยงจากการยืนยันหรือปฏิเสธว่า ตัวเขาเองก็คิดเห็นอย่างเดียวกับรัฐมนตรีคลังของเขาหรือไม่ ในจุดที่ว่าสถานการณ์การประจันหน้ากับจีนเป็นเรื่องที่ไม่สามารถรักษาให้ยืนยาวต่อเนื่อง
“เรากำลังทำได้ดีกับจีนนะ” ทรัมป์บอก
ถึงแม้การขึ้นภาษีศุลกากรอัตราสูงลิ่วของเขา แต่ทรัมป์กล่าวในวันอังคารว่า เขาจะ “ใจดีมากๆ” กับจีน
"ผมไม่ได้กำลังจะบอกว่า ผมกำลังโยนลูกยากๆ ให้จีนต้องเล่น" ทรัมป์ กล่าวในก้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว "เรากำลังไปได้ดี สถานการณ์กับพวกเขากำลังเป็นไปได้ดี แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาเป็นต้องทำข้อตลง เพราะว่ามิเช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะไม่สามารถทำการค้าขายในสหรัฐฯ เราต้องการให้พวกเขามีส่วนร่วม แต่พวกเขาจำเป็นต้องและประเทศอื่นๆ ก็จำเป็นต้อง ทำข้อตกลง และถ้าพวกเขาไม่ทำข้อตกลง เราจะเป็นฝ่ายกำหนดข้อตกลงเอง"
ทรัมป์ ยอมรับว่าระดับมาตรการรีดภาษี 145% ที่กำหนดเล่นงานสินค้าเข้าจากจีนนั้น "สูงมาก" และเทียบเท่ากับเป็นการ "ปิดล้อมทางการค้า" ดังนั้นตัวเลขในขั้นท้ายสุดที่จะกำหนด จะต่ำกว่านั้นมาก
"มันคงไม่เฉียดใกล้ตัวเลขระดับสูงนั้น" ทรัมป์ยอมรับ "มันลดต่ำลงอย่างมาก แต่จะไม่เป็นศูนย์ มันเคยเป็นศูนย์ เราแค่เล่นงานจีน ฐานหลอกลวงเรา มันจะไม่ใกล้เคียงตัวเลขระดับ 145% แต่ถ้าเราไม่ทำข้อตกลงกัน เราก็จะเป็นคนกำหนดตัวเลข"
ทรัมป์ บอกว่าข้อตกลงจะพินิจพิจารณาโดยตัวเขาเอง, เบสเซนต์ และ โฮเวิร์ด ลุตนิค รัฐมนตรีพาณิชย์ แต่เขาม่ได้บ่งชี้ถึงกรอบเวลาหรือเส้นตาย เกี่ยวกับการเจรจาปลดมาตรการรีดภาษี
นอกจากเรื่องเกี่ยวกับจีนแล้ว ในการพูดจากับผู้สื่อข่าวคราวนี้ ทรัมป์ ยังกลับลำคำขู่ก่อนหน้านี้ ที่พูดเป็นนัยว่าต้องการจะปลด เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ออกจากตำแหน่ง โดย ทรัมป์ กลับมาพูดใหม่ว่าเขาไม่ได้กำลังพิจารณาปลด พาวเวลล์ กระทั่ง "ไม่เคยคิดด้วยซ้ำ" แม้ไม่กี่วันก่อน ทรัมป์ เพิ่งส่งเสียงวิพากษวิจารณ์ พาวเวลล์ อย่างหนัก ต่อกรณีดำเนินการล่าช้าเกินไปในการปรับลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
"ผมไม่มีความตั้งใจไล่เขาออก ผมอยากเห็นเขากระตือรือร้นมากกว่าที่เป็นอยู่ในแง่ของความคิดในการปรับลดดอกเบี้ย นี่คือช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบสำหรับอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ ถ้าเขาไม่ทำ มันจะถึงจุดจบหรือไม่? ไม่ ไม่ใช่"
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์ บอกว่าเขาไม่พอใจ พาวเวลล์ และบอกว่าประธานธนาคารกลางสหรัฐฯรายนี้สมควรถูกปลดจากตำแหน่งอย่างรวดเร็ว
(ที่มา: เอพี/รอยเตอร์)