อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของเทสลา เคยพูดจาขอร้องประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ตรงๆ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ให้ยกเลิกมาตรการรีดภาษีตอบโต้ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ทว่าโน้มน้าวไม่สำเร็จ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ซึ่งอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิด
รายงานฉบับนี้อ้างว่า บทสนทนาดังกล่าวถือได้ว่าเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่าง ทรัมป์ และ มัสก์ และเกิดขึ้นหลังจากที่ ทรัมป์ ออกมากำหนดอัตราภาษีศุลกากรขั้นต่ำ 10% สำหรับสินค้าทุกชนิดที่นำเข้าสหรัฐฯ โดยยังมีอีกหลายสิบประเทศที่จะถูกรีดภาษีสูงเป็นพิเศษ
ทำเนียบขาวและตัว มัสก์ เองยังไม่ออกมาตอบคำถามรอยเตอร์ในประเด็นนี้
“ผมหวังว่าทุกฝ่ายคงจะเห็นด้วยว่า ทั้งยุโรปและสหรัฐฯ ควรเดินหน้าไปสู่นโยบายภาษีเป็นศูนย์ และหากสร้างเขตการค้าเสรีระหว่างยุโรปและอเมริกาเหนือได้ก็จะดีมากในมุมมองของผม” มัสก์ กล่าวในการประชุม The League Congress ซึ่งเป็นอีเวนต์ที่จัดขึ้นโดยรองนายกรัฐมนตรี มัตเตโอ ซัลวินี ของอิตาลีเมื่อวันเสาร์ (6)
“นั่นคือสิ่งที่ผมหวังว่าจะเกิดขึ้น และผมยังอยากให้การเดินทางระหว่างยุโรปและอเมริกาเหนือเป็นไปอย่างเสรี ถ้าผู้คนอยากจะเข้ามาทำงานในยุโรปหรืออเมริกา พวกเขาก็ควรจะทำได้ นี่คือคำแนะนำที่ผมอยากจะบอกกับท่านประธานาธิบดี”
ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ ออกมาปฏิเสธแนวคิดของ มัสก์ ในวันจันทร์ (7) พร้อมระบุว่าไม่แปลกใจที่ได้ยินข้อเสนอเช่นนี้จาก "เจ้าของโรงงานประกอบรถยนต์" (car assembler)
ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเทสลาประจำไตรมาสที่ผ่านมาลดฮวบลงอย่างมีนัยสำคัญ สืบเนื่องจากกระแสต่อต้านเรื่องที่ มัสก์ เข้าไปเป็นหัวหอกในกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลหรือ DOGE ซึ่งมีการสั่งปลดข้าราชการและตัดลดรายจ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ ลงไปมาก ราคาหุ้นเทสลาปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (7) อยู่ที่ 233.29 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงไปแล้วมากกว่า 42% ตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้
มัสก์ เองเคยออกมายอมรับว่า นโยบายรีดภาษีรถยนต์นำเข้าของ ทรัมป์ ส่งผลกระทบต่อเทสลาค่อนข้าง “หนักพอสมควร”
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่า การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจะกระพือวิกฤตเงินเฟ้อ เพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย และทำให้ครัวเรือนอเมริกันมีต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกหลายพันดอลลาร์ ซึ่งจะเป็นตัวฉุดรั้งคะแนนนิยมของ ทรัมป์ ที่เคยให้สัญญาไว้ตอนหาเสียงว่าจะเข้ามาลดค่าครองชีพของชาวอเมริกัน
ที่มา: รอยเตอร์