xs
xsm
sm
md
lg

ไทยต่อคิวยาว! ทรัมป์รีดภาษีได้ผล กว่า 50 ชาติ เรียงแถวขอเริ่มเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ประเทศต่างๆมากกว่า 50 ชาติ ที่ติดต่อไปยังทำเนียบขาว เพื่อขอเริ่มเจรจาการค้า นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดตัวมาตรการรีดภาษีอย่างครอบคลุมรอบใหม่ จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในวันอาทิตย์(6เม.ย.) พร้อมปกป้องมาตรการรีดภาษีที่สร้างความตื่นตะหนก ทำมูลค่าตลาดสูญหายไปจากตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาเกือบ 6 ล้านล้านดอลลาร์ และพยายามปัดเป่าความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ

ระหว่างร่วมรายการทอล์คโชว์ในตอนเช้าวันอาทิตย์(6เม.ย.) บรรดาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของทรัมป์ พยายามวาดภาพมาตรการรีดภาษีว่าเป็นการปรับสถานะอันฉลาดหลักแหลมของสหรัฐฯในด้านระเบียบการค้าโลก นอกจากนี้แล้วพวกเขายังพยายามหาทางลดผลกระทบจากคลื่นความช็อคทางเศรษฐกิจอันเนื่องจากมาตรการรีดภาษีที่เปิดตัวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนหน้าตลาดหลักทรัพย์เอเชียจะเปิดทำการ ท่ามกลางความคาดหมายว่าตลาดหุ้นทั่วเอเชียจะดิ่งลงอย่างหนัก

สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯระบุว่ามีประเทศต่างๆมากกว่า 50 ชาติที่เริ่มเจรจากับสหรัฐฯ นับตั้งแต่คำแถลงเมื่อวันพุธ(2เม.ย.) ที่วาง ทรัมป์ อยู่ในสถานะอำนาจที่เหนือกว่า อย่างไรก็ตามทั้ง เบสเซนต์ และพวกเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ไม่ได้เปิดเผยชื่อชาติต่างๆเหล่านั้นหรือรายละเอียดข้อเสนอเกี่ยวกับการเจรจา และการเจรจาพร้อมๆกันหลายประเทศ อาจกลายเป็นความท้าทายทางตรรกะสำหรับรัฐบาลทรัมป์ และอาจทำให้สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยืดเยื้อต่อไป

"เขาสร้างแรงงัดข้อสูงสุดสำหรับตัวเขาเอง" เบสเซนต์ บอกกับรายการมีทเดอะเพรสของเอ็นบีซีนิวส์ พร้อมกับปัดเป่าความกังวลต่อการดิ่งลงของตลาดหุ้นและบอกว่า "ไม่มีเหตุผล" ที่จะคาดหมายเกี่ยวกับภาวะถดถอยบนพื้นฐานของมาตรการรีดภาษี โดยอ้างถึงการเติบโตด้านการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดหมายในสหรัฐฯ

ทรัมป์ ก่อแรงสั่นสะเทือนแก่เศรษฐกิจทั่วโลก หลังจากเขาแถลงมาตรการรีดภาษีอย่างครอบคลุมเล่นงานสินค้านำเข้าสหรัฐฯ กระตุ้นการขึ้นภาษีตอบโต้จากจีน และโหมกระพือความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าและภาวะเศรษฐกิจถดถอย

พวกนักเศรษฐศาสตร์ของจีพีมอร์แกน เวลานี้คาดการณ์ว่ามาตรการรีดภาษีจะก่อผลกระทบฉุดให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของสหรัฐฯ(จีดีพี)ตลอดทั้งปี ลดลงราวๆ 0.3% จากเดิมที่ประมาณการไว้ว่าจะเติบโต 1.3% และอัตราคนว่างงานจะพุ่งขึ้นจากระดับ 4.2% ในปัจจุบัน เป็น 5.3%

หน่วยงานศุลกากรสหรัฐฯเริ่มเก็บภาษีฝ่ายเดียวของทรัมป์ ที่กำหนดเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม 10% กับสินค้านำเข้าจากทุกชาติในวันเสาร์(5เม.ย.) ขณะที่ภาษีตอบโต้ ที่มีอัตราสูงกว่า ในระดับ 11% ถึง 50% ขึ้นอยู่กับแต่ละชาติ มีกำหนดมีผลบังคับใช้ในเวลา 00.01น.ของวันพุธ(9เม.ย.) ตามเวลาอเมริกา

บางประเทศได้ส่งสัญญาณถึงความตั้งใจที่จะเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการรีดภาษี ในนั้นรวมถึงประธานาธิบดีไล่ ชิง-เต๋อ ของไต้หวัน ที่เสนอรีดภาษีเป็นศูนย์ สำหรับเป็นพื้นฐานการเจรจากับสหรัฐฯ พร้อมรับปากว่าจะรื้อถอนกำแพงทางการค้าต่างๆนานา และบอกว่าบริษัททั้งหลายของไต้หวันจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ

เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เปิดเผยว่าเขากำลังหาทางบรรเทาโทษจากมาตรการรีดภาษีที่สหรัฐฯเรียกเก็บกับสินค้าของประเทศ ระหว่างพบปะกับ ทรัมป์ ที่วางแผนไว้ในวันจันทร์(7เม.ย.)

เจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดียบอกกับรอยเตอร์ว่า ประเทศของพวกเขาไม่มีแผนรีดภาษีตอบโต้มาตรการรีดภาษี 26% ของสหรัฐฯ และบอกว่าเวลานี้อยู่ระหว่างการเจรจากับสหรัฐฯ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของข้อตกลงหนึ่งๆ

ในอิตาลี นายกรัฐมนตรีจอร์เจีย เมโลนี พันธมิตรของทรัมป์ รับปากในวันอาทิตย์(6เม.ย.) ว่าจะปกป้องธุรกิจจากความเสียหาย จากมาตรการรีดภาษีของทรัมป์ ที่จะเรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป 20%

เควิน ฮัสเซตต์ ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของทำเนียบขาว ยืนยันว่ามาตรการรีดภาษีไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ของทรัมป์ ที่จะบดขยี้ตลาดทุนเพื่อถาโถมแรงกดดันใส่ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย และเน้นย้ำว่าไม่มีการบังคับขู่เข็ญทางการเมืองใส่ธนาคารกลางแห่งนี้

เสียงปฏิเสธดังกล่าว มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ แชร์คลิปวิดีโอหนึ่งบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง เมื่อวันศุกร์(4เม.ย.) ที่บ่งชี้ว่ามาตรการรีดภาษีของเขามีเป้าหมายทุบตลาดหุ้น ในจุดประสงค์เพื่อบีบให้อัตราดอกเบี้ยลดต่ำลง

โพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าว ก่อประเด็นถกเถียงไปทั่วโลก ว่ามาตรการรีดภาษีของทรัมป์ เป็นส่วนหนึ่งของระบบภาษีใหม่อย่างถาวร หรือเป็นเพียงกลยุทธ์การเจรจาที่อาจนำไปสู่การผ่อนปรนมาตรการรีดภาษี แลกกับการที่ประเทศอื่นๆยอมอ่อนข้อ

ฮาวเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์ กล่าวผ่านรายการ Face the Nation ทางซีบีเอสนิวส์ บ่งชี้ว่ามันอาจเป็นอย่างหนัก และบอกว่ามาตรการรีดภาษีอาจคงบังคับใช้ต่อไปอีกหลายวันหรือหลายสัปดาห์

(ที่มา:รอยเตอร์)
กำลังโหลดความคิดเห็น