ผ่านสมรภูมิการเมือง ถึงเวลาแก้เศรษฐกิจ เร่งหาทางรับมืออเมริกา
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาล ภายหลังผู้นำสหรัฐอเมริกา ประกาศเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเรี่มมีเสียงเรียกร้องกดดันให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เร่งหามาตรการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร แสดงความคิดเห็นว่า จากที่เชิญกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงว่าได้พิจารณาถึงที่ประเทศไทยได้ส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน และมิติการค้าไทยกับสหรัฐอเมริกา จากคำแถลงของรมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ที่แสดงออกมากังวลในเรื่องนี้เช่นเดียวกันว่ามีผลต่อการค้าไทยกับสหรัฐฯหรือไม่ โดยเฉพาะในวันที่ 2 เม.ย. นี้ สหรัฐฯ จะออกบัญชีรายประเทศและรายสินค้าว่ามีประเทศไหนที่เสี่ยงโดนขึ้นภาษี และสินค้าไหนที่ถูกขึ้นภาษีบ้าง ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากไทยเกินดุลสหรัฐฯมาก เราอยู่ในลำดับที่ 21
ดังนั้น วันที่ 2 เม.ย. นี้ มีความเป็นไปได้ว่า เราจะโดนภาษี ทั้งภาษีเรียกเก็บจากสินค้าทั่วไป และภาษีเรียกเก็บรายเฉพาะประเทศ โดยเขาจะดูว่าสินค้าใดบ้างที่ประเทศไทยเก็บภาษีสูงกว่าสหรัฐฯ เช่น สินค้าเกษตร และมีสินค้าใดบางที่ไทยเกินดุลสหรัฐฯเยอะ เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า รถมอเตอร์ไซต์ เครื่องปรับอากาศ ถือเป็นสินค้าที่มีความเสี่ยง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ประเมินว่าอัตราภาษีที่ไทยเรียกเก็บจากสหรัฐฯ สูงกว่าที่สหรัฐฯเรียกเก็บจากไทยประมาณ 4-6 เปอร์เซนต์ ถ้าเอาอัตรานี้มาคำนวณร่วมกับมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไทยส่งไปสหรัฐฯ เรามีความเสี่ยงที่ถูกขึ้นภาษี และหากคิดเป็นเงินบาทเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบอยู่ที่ 1-1.4 แสนล้านบาท
นายสิทธิพล กล่าวว่า ในเรื่องของการค้าไทยและสหภาพยุโรปในมุมมองของหน่วยงานที่มาชี้แจง ทั้งส่วนราชการและเอกชนมีความเห็นที่สอดคล้องกันว่าเนื่องจากไทยและสหภาพยุโรป มีความต้องการเร่งเจรจา FTA ซึ่งในสภาพของสงครามการค้าสหภาพยุโรปจำเป็นต้องเร่งหาตลอดใหม่ๆ ในมุมของคู่เจรจา เห็นว่าน่าจะกระทบต่อการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรปไม่มากนัก แต่สิ่งที่เป็นข้อกังวลคือ หลังจากที่มีการเจรจาผ่านไปแล้ว แต่ละประเทศที่อยู่ในกลุ่มสหภาพยุโรป จะมีการดำเนินการตามข้อตกลง FTA มากน้อยแค่ไหน
ด้วยเหตุนี้คณะกรรมาธิการฯ จึงมีความคิดเห็นว่ากระทรวงพาณิชย์ควรเร่งพิจารณามาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ ตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าต่างๆให้ชัดเจน เพราะปัจจุบันมีจำนวนมากที่สินค้าต่างประเทศใช้ไทยเป็นทางผ่านเพื่อส่งออกไปปประเทศอื่น ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย
ด้าน นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย แสดงความคิดเห็นเช่นกันว่า ภายหลังผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ดี นั่นหมายถึงว่าประเทศไทยมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ทำให้การดำเนินการต่อไปข้างหน้าจะมีความมั่นคง สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนมากขึ้น ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับประเทศไทย และตนคิดว่าการผ่านมติอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ของรัฐบาล จะนำไปสู่การลงทุนที่ดีขึ้นจากต่างประเทศเข้ามาส่วนหนึ่ง
นายชูเกียรติ กล่าวอีกว่า สิ่งที่จะฝากถึงรัฐบาลที่ต้องเร่งดำเนินการต่อจากนี้ คือ การแก้ไขเรื่องการส่งออก รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่า หลายประเทศ อย่างสหรัฐอเมริกา มีนโยบายที่ค่อนข้างจะกีดกันเรื่องการค้า ผ่านกำแพงภาษี จึงอยากให้ภาครัฐช่วยเหลือภาคเอกชนผ่านการเจรจาอย่างเร่งด่วน เพราะเข้าใจว่าได้มีบางประเทศ ที่มีการเจรจากับสหรัฐไปแล้ว