xs
xsm
sm
md
lg

กฎหมายห้ามตีเด็ก สิ้นสุดยุคไม้เรียว 'ยูนิเซฟ' ร่วมยินดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



กฎหมายห้ามตีเด็ก สิ้นสุดยุคไม้เรียว 'ยูนิเซฟ' ร่วมยินดี

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ สำหรับเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ระบุว่า โดยที่ปัจจุบันประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กำหนดสิทธิของผู้ใช้อำนาจปกครองว่ามีสิทธิทำโทษบุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนนั้น มีการบังคับใช้มาเป็นระยะเวลานาน

อีกทั้งพบว่าการลงโทษนั้นหลายกรณีกลับกลายเป็นการกระทำในลักษณะทารุณกรรมหรือทำร้ายอันส่งผลกระทบต่อร่างกายหรือจิตใจของบุตร เป็นการเฆี่ยนตีบุตร หรือทำโทษด้วยวิธีการอื่นอันเป็นการด้อยค่า ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของบุตรและไม่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาการกระทำผิดหรือพฤติกรรมของบุตรที่จำเป็นต้องว่ากล่าวสั่งสอน ประกอบกับการปรับแก้ไขสิทธิของผู้ใช้อำนาจปกครองในการทำโทษบุตรนี้ เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาดีข้อเสนอแนะทั่วไป ฉบับที่ 8 (ค.ศ. 2006) (General Comment No. 8 (2006) The Right of the Child of Protection from Corporal Punishment and other Cruel or Degrading Forms of Punishment) ที่ออกตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และประเทศไทยได้ตอบรับและให้คำมั่นโดยสมัครใจที่จะปฏิบัติตามภายใต้กลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ 2 (พ.ศ. 2559 ถึง พ.ศ. 2563) อีกด้วย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

สำหรับสาระสำคัญของพระราชบัญญัตินี้ คือ การยกเลิกมาตรา 1567(2) ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(2) ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนหรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรมหรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกายหรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ”

ขณะที่ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ออกแถลงการณ์แสดงความยินดีกับการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 ที่กำหนดให้ผู้ใช้อำนาจปกครองมีสิทธิทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนหรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรมหรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกายหรือจิตใจหรือกระทำโดยมิชอบ โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่ 68 ของโลกที่ห้ามการลงโทษด้วยความรุนแรงทุกรูปแบบภายในบ้าน โรงเรียน สถานสงเคราะห์ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนและศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน ตลอดจนสถานรับเลี้ยงเด็ก

การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของประเทศไทยในการคุ้มครองสิทธิเด็กและส่งเสริมการสร้างวินัยเชิงบวกในการอบรมเลี้ยงดูบุตรมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ประเทศไทยเป็นภาคี โดยยึดหลักการคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กในทุกการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับเด็ก

ในประเทศไทย การลงโทษเด็กโดยใช้ความรุนแรงภายในบ้านมีแนวโน้มลดลงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทยโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติและยูนิเซฟ พบว่า จำนวนเด็กอายุ 1-14 ปีที่ถูกลงโทษด้วยความรุนแรงในบ้านลดลงจากร้อยละ 75 ในปี 2558 เหลือร้อยละ 54 ในปี 2565 อย่างไรก็ตาม ไม่มีเด็กคนใดควรต้องเผชิญกับความรุนแรงทุกรูปแบบ ซึ่งการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญสู่การยุติความรุนแรงต่อเด็กให้หมดสิ้นไป

ยูนิเซฟผลักดันให้รัฐบาลสนับสนุนพ่อแม่และผู้ดูแลเด็กในการใช้วิธีการสร้างวินัยเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง โดยจัดให้มีทรัพยากรและองค์ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กโดยไม่ใช้ความรุนแรง เพื่อให้เด็กทุกคนได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอาใจใส่ ทั้งนี้ การศึกษาในระดับนานาชาติชี้ให้เห็นว่า กฎหมายที่ห้ามการลงโทษและการกระทำรุนแรงต่อเด็กจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเมื่อใช้ควบคู่ไปกับการให้ความรู้และการส่งเสริมการเลี้ยงดูเชิงบวกแก่พ่อแม่และผู้ปกครอง

ยูนิเซฟยังคงมุ่งมั่นทำงานร่วมกับรัฐบาล ภาคประชาสังคม และชุมชน เพื่อยุติความรุนแรงและการละเมิดต่อเด็กในทุกรูปแบบ พร้อมส่งเสริมสิทธิและคุณภาพชีวิตของเด็กทุกคน แม้ยังคงต้องมีการขับเคลื่อนให้เกิดผลสัมฤทธิ์ แต่การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องสิทธิเด็กในประเทศไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น