xs
xsm
sm
md
lg

ราคาทองคำไม่หยุดที่ 5 หมื่น. - รับดีมานด์ทองแท่งพุ่งไม่เลิก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



หลายปัจจัยหนุนทองคำ ไม่หยุดที่ 50,000 บาท ภาพรวมทิศทางยังเป็นช่วงขาขึ้นระยะยาว หลังสถาบันการเงินขนาดใหญ่ปรับเป้าทองคำแตะ 3,300 เหรียญ/ออนซ์ จากปัญหาสงครามการค้าจ่อขึ้นภาษีแบบไม่มีท่าทียุติ ขณะสงครามไม่มีสัญญาณสงบ หนำซ้ำเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยถึง 2 รอบ กดดันธนาคารกลางทุกประเทศไล่สะสมทองคำแท่ง หนุนราคาพุ่งไม่หยุด แนะรอราคาจังหวะพักฐานเข้าเก็บเพื่อไปหวังผลปลายปี ส่วนยาวกว่านั้นมีลุ้น 5,000 เหรียญ/ออนซ์

ความร้อนแรงของราคาทองคำในช่วงเวลานี้เป็นเรื่องที่หลายฝ่ายจับตาอย่างใกล้ชิด ว่าราคาทองคำแท่ง 96.5% ที่นิยมซื้อขายในประเทศจะขึ้นมาแตะที่ระดับ 50,000 บาท ต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท หลังจาก 21 มี.ค. 68 เคลื่อนไหวอยู่ที่ 48,600 บาท ขณะที่ทองคำรูปพรรณขายออกที่ 49,400 บาท บนความเคลื่อนไหวราคา Gold Spot ที่ระดับ 3,031.50 บาท

ภาพรวมในระยะเวลา 3 เดือนนับตั้งแต่ต้นปี 2568 พบว่า ราคาทองคำแท่ง 96.5%ของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแล้ว 6,100 บาท จากราคาต่ำสุด 42,550 บาท และราคาสูงสุด 48,600 บาท และหากนับรวมกับปี 2567 ซึ่งราคาทองคำแท่งต่ำสุด 33,400 บาท และสูงสุดที่ระดับ 44,550 บาท เพิ่มขึ้น 8,750 บาทจากปี 2566 พบว่า หากใครถือทองคำแท่งที่ต้นปี 2567 มาจนถึงปัจจุบันนั้นมีกำไรจากส่วนต่าง 14,850 บาท

ขณะที่ภาพรวมสัปดาห์ที่ผ่านมาวันจันทร์ (17มี.ค.) ราคาทองคำเปิดตลาดประมาณ 47,600 บาท สำหรับทองคำแท่ง 96.5% น้ำหนัก 1 บาท ขณะที่ทองคำรูปพรรณอยู่ที่ 48,400 บาท จากนั้นระหว่างสัปดาห์ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจนท้ายสัปดาห์ในวันศุกร์ที่ 21 มีนาคม ราคาทองคำแท่งขายออกสูงสุด 48,600 บาท ขณะที่ทองคำรูปพรรณ 49,400 บาท ถือเป็นสัปดาห์ที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นเกือบ 1,000 บาทและทำ All Time High ใหม่

ส่วนราคาทองโลกมีการปรับตัวทำ All Time High เช่นกัน โดยในช่วงวันจันทร์ทำจุดต่ำสุดประมาณ 2,982 เหรียญ/ออนซ์ และระหว่างสัปดาห์ได้ทำจุดสูงสุดประมาณ 3,057 เหรียญ/ออนซ์ แม้ตอนนี้ Gold Spot จะมีการย่อตัวลงมาบ้างประมาณ 3,030 เหรียญ แต่ราคาทองคำในประเทศยังยืนเหนือ 48,500 บาทอยู่ เนื่องจาก Gold Spot ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 3,030 เหรียญ อีกทั้งค่าเงินบาทมีการอ่อนค้าลงอีกด้วย

3 เดือนขึ้นทะลุ 6 พันบาท

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ราคาทองคำในประเทศปรับตัวลงยากขึ้น และทั้งปีจะเห็นว่าราคาทองคำมีการปรับตัวประมาณ 28% จากปีก่อนทองคำโลกทำจุดต่ำ 1,984 เหรียญ/ออนซ์ และจุดสูงสุดอยู่ที่ 2,790 เหรียญ/ออนซ์ ถือว่าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในรอบปีนี้ไม่แพ้ปีที่ผ่านมาเลย กล่าวได้ว่าผ่านไปเกือบ 3 เดือน แต่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่งของปีที่แล้ว ที่ปรับตัวขึ้น 16% จากเมื่อต้นปี2568 ราคาทองคำอยู่บริเวณ 42,550 บาท และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับปัจจุบัน 48,600 บาท จะพบว่า ราคาทองคำมีการปรับตัวเกือบ 6,000 บาท

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำในช่วงนี้ หนีไม่พ้นความกังวลเกี่ยวกับมาตรการทางภาษีของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่สร้างเอฟเฟกต์ไปทั่วโลก และอีกประเด็นคือความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ที่ยกระดับความรุนแรงขึ้นในช่วงนี้

“ช่วงที่ ทรัมป์ เข้ามาเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ราคาทองคำเพิ่มขึ้นตลอดในช่วง 3 ปีแรกที่ดำรงตำแหน่ง และตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่หากมองจากข้อมูลย้อนหลัง 30 ปีที่ผ่านมาจะพบว่าราคาทองคำก็ปรับตัวขึ้นมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงต้นปีกับปลายปี ปัจจุบันทองคำยังมีดีมานด์เข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะทองคำจริงๆ (Physical Gold)กำลังถูกบรรดาธนาคารกลางของประเทศต่างๆเข้ามาไล่ซื้อสะสมไม่หยุด จนเชื่อว่าจะมากกว่าทั้งปี 2024”

จับสัญญาณพฤติกรรมทอง

มีข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติมว่า พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาทองคำจะมีแนวโน้มในการปรับตัวขึ้นตั้งแต่เข้าย่างเข้าสู่ปีใหม่จนไปถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พอปลายเดือนจะมีการพักตัวของราคาลงบ้างเป็นการพักตัวเพื่อขึ้นต่อในช่วงเดือนมีนาคม ฉะนั้นต้องระวังการพักฐานที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนนี้ ก่อนที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อในช่วงต่อไป และช่วงปลายปีราคาทองคำมีโอกาสปรับสูงกว่าในช่วงต้นปี นั่นทำให้ตอนนี้ราคาทองคำนั้นมีโอกาสทำจุดสูงสุดระยะสั้นที่ 3,100 เหรียญ/ออนซ์ และระยะถัดไปที่ระดับ 3,300 – 3,400 เหรียญ

ดังนั้น นักลงทุนรายใหญ่หลายคนกำลังมองจุดเข้าลงทุนเป็นช่วงต้นปี เพื่อรอการปรับตัวขึ้นในช่วงปลายปี หรือหากราคทองคำมีการพักฐานลงมาใกล้ 2,830 เหรียญ หรือ 46,000 บาทยิ่งน่าสนใจ เพราะตอนนี้สถาบันการเงินชั้นนำระดับโลกมองราคาทองคำสิ้นปีนี้อยู่ในโซน 3,200 – 3,400 เหรียญ/ออนซ์กันหมดแล้ว นั่นยิ่งทำให้โอกาสเห็นราคาทองคำในระยะยาวที่ระดับ 5,000 เหรียญ/ออนซ์ กับสถานการณ์ในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ลดดอกเบี้ยอีกปัจจัยหนุนราคา

นเพราะมีหลายปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำ เริ่มจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีการส่งสัญญาณในการลดอัตราดอกเบี้ยถึง 2 ครั้งในปีนี้ เมื่อโอกาสในการลดดอกเบี้ยมันยังมีอยู่ จะทำให้เงินดอลลาร์ในช่วงของปลายปีอ่อนตัวได้และมีผลต่อราคาทองคำด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เฟด ยังปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลดลงจาก 2.1% เป็น 1.7% ถือว่าหดตัวเลยทีเดียว ทำให้ในส่วนของดอลลาร์ตอนนี้ยังไม่สู้ดี และยังทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น

ที่สำคัญตอนนี้ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์กลับมาสร้างความกังวลอีก เมื่ออิสราเอลฮามาส มีการบุกรุกและเกิดการปะทะ ทำให้ในส่วนสัญญาการหยุดยิงมันจบลงไป ฝั่งรัสเซียกับยูเครนเองก็ยังคงเป็นไปอย่างเข้มข้นหาจุดลงกันไม่ได้

ไม่เพียงเท่านี้ในวันที่ 2 เมษายนนี้ “โดนัลด์ ทรัมป์”เตรียมใช้มาตรการทางภาษีศุลกากรตอบโต้กับกลุ่มประเทศตะวันตก ซึ่งเอฟเฟกต์เหล่านี้ยังสร้างความกังวลต่อในตลาด ทำให้ราคาทองคำยังคงทะยานปรับตัวมากกว่า 3,000 เหรียญ/ออนซ์


ปัจจัยลบยังมีอยู่บ้าง

ส่วนปัจจัยลบยังพอมีอยู่บ้าง เช่นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังได้แรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดไม่ว่าจะเป็นในส่วนของยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานที่ลดลง หรือดัชนีภาคการผลิตปรับตัวสูงขึ้น และที่สำคัญคือกลุ่มประเทศยุโรปประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯออกไปกลางเดือนหน้า เพื่อเจรจาหาข้อตกลง ส่วนสงครามยูเครน – รัสเซียก็มีแนวโน้มจะทำมาคุยกันอีก สถานการณ์เหล่านี้ถือเป็นปัจจัยที่ช่วยลดความร้อนแรงของราคาทองคำในปัจจุบัน ดังนั้นวันที่ 2 เมษายนจึงสำคัญมากต่อทิศทางราคาทองคำในระยะถัดไป

เนื่องจาก หาก “ทรัมป์” เลื่อนการปรับขึ้นภาษีสินค้าจากกลุ่มประเทศยุโรปเพื่อเจรจาด้วย ความตึงเครียดหรือความกังวลจะลดลง ทำให้ราคาทองคำอาจปรับตัวลงมาได้ เพราะตอนนี้หลายชาติก็เตรียมเดินหน้าเรื่องภาษีเพื่อตอบโต้สหรัฐซึ่งหากทุกอย่างเกิดขึ้นไม่มีการเลื่อนเพื่อเจรจา ราคาทองคำจะขยับตัวเพิ่มขึ้นต่อ

หลายตัวเลขต้องติดตาม

ขณะที่ในระยะสั้น สัปดาห์นี้ (24-28 มีนาคม 68) ยังมีตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐหลายตัวให้ติดตาม เช่นดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐวันที่ 26 มี.ค.68 ต่อมาวันที่ 27 มี.ค.68 จะมี Final GDP และตัวเลขผู้รับขอสวัสดิการ ตัวเลขเงินเฟ้อในวันที่ 28 มี.ค. 68 หากเงินเฟ้อยังสูงอยู่แน่นอนอาจจะทำให้เฟดลดดอกเบี้ยยาก แต่ถ้ามีเงินเฟ้อลดลงก็จะเปิดโอกาสให้เฟดมีเปอร์เซ็นต์ในการลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น ตรงนี้อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งต่อทองคำได้

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้ (22-24 มี.ค.68) นักวิเคราะห์มองแนวรับสำคัญที่ 3,020 เหรียญ แนวรับถัดไปอยู่ที่ 2,980 เหรียญ และ 2,950 เหรียญ ส่วนแนวต้านเดิมที่ยังไม่ผ่านคือ 3,055 เหรียญ 3,080 เหรียญ และ 3,100 เหรียญ ทำให้กรณีขาขึ้นราคาทองคำจะต้องทะลุ 3,050 เหรียญก่อนและยืนให้ได้ ถ้าราคาหลุด 3,020 เหรียญ อาจเห็นราคาทองคำวิ่งกลับไปแถวบริเวณ 3,000 - 2,950 เหรียญ เป็น Side Way ในตอนที่ตลาดยังไม่เลือกทิศทาง แนะนำลงทุนในกรอบประมาณ 3,020 - 3,050 เหรียญ

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของราคาทองคำในประเทศที่มีการปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงนี้เชื่อว่าราคาทองคำเริ่มมีการย่อตัวลงบ้าง แต่เงินบาทกลับมีการอ่อนค่ากลายเป็นปัจจัยหนุนให้ทองคำทรงตัวอยู่ในระดับสูง ดังนั้นโอกาสที่จะได้เห็นราคาทองคำในประเทศปรับตัวลงแรงจึงมีไม่มาก

US ตัวใหญ่ไล่สะสมทอง

รายงานจาก Boomberg ระบุว่า ธนาคารขนาดใหญ่ๆในโลกทำการขนย้ายทองคำกันจำนวนมาก การขนย้ายทองคำที่เกิดขึ้น หลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นเพราะต้องการเลี่ยงภาษี หรืออาจต้องการทำกำไรแบบอาบิทราจทำให้ต้องติเตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

ส่วนอีกประเด็นที่น่าสนใจนั่นคือปริมาณการซื้อขายทองคำ(Physical Gold) พบว่าในช่วงเดือนสุดท้ายปี 2024 และช่วงเดือนแรกปีนี้ สหรัฐมีการซื้อทองคำ (Physical Gold) มากที่สุดอย่างมีนัยสำคัญ เริ่มที่ ธันวาคม 2024 มีการซื้อทองคำ 64 ตัน และ มกราคม 2025 ยังซื้อเพิ่มขึ้นอีก 193 ตัน มากกว่าที่หลายชาติทยอยไล่ซื้อสะสม

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ สถาบันการเงินมองราคาทองคำโลกเป็นขาขึ้นในระยะยาว ไล่ตั้งแต่ 3,100 เหรียญ/ออนซ์ที่ใกล้จะเกิดขึ้น จากนั้นจะขยายตัวต่อไป 3,200 – 3,300 เหรียญ/ออนซ์ในที่สุด และมีโอกาสขยับไปถึง 5,000 เหรียญ/ออนซ์ในปี 2030

สิ่งที่เกิดขึ้นช่วยสะท้อนว่า ราคาทองคำจะขึ้นก็ต่อเมื่อคนทั้งโลกนั้นอยู่ในภาวะของความกลัว ปัจจุบันทั้งโลกกำลังเผชิญกับสงครามการค้า และสงครามทางภูมิศาสตร์ ทำให้รัฐบาลทั่วโลกต้องแย่งสะสมทองคำมากขึ้น และหากเรื่องใดเรื่องหนึ่งมีสถานการณ์ขนาดนี้แล้วยิ่งกลัวมากขึ้นสถานการณ์มันเลวร้ายมากขึ้นก็ยิ่งไปดันให้ราคาทองคำมันสูงมากขึ้น และผลของการแย่งทองคำกันก็จะยิ่งทำให้ราคาทองคำมันสูงขึ้นไปอีก

ขณะเดียวกันการกวาดซื้อทองคำมากขนาดนี้ เริ่มทำให้นักลงทุนสงสัยว่า นี่คือสัญญาณของวิกฤตค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือบ่งบอกว่าเงินดอลลาร์สหรัฐอาจจะไม่ใช่สกุลเงินที่น่าเชื่อถือได้เหมือนที่ผ่านมา ไม่ใช่สกุลเงินที่ปลอดภัยเหมือนในอดีตเมื่อสหรัฐฯกลับมาเป็นผู้ซื้อสะสมในทองคำมากที่สุดเช่นนี้

สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติม คือเมื่อสถานการณ์ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเช่นนี้ เริ่มทำให้หลายฝ่ายกังวลต่อว่า เหตุการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลให้ การลงทุนทองคำในรูปแบบอื่นๆที่ไม่ใช่ทองคำจริง (Physical Gold) เช่นสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าต่างๆ หรือการลงทุนประเภทอื่นที่เกี่ยวกับทองคำอาจเกิดปัญหา จนนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ โดยเฉพาะหากผู้ลงทุนที่ครอบครองอยู่ต้องการแปลงสัญญาที่ถืออยู่ในมือเป็นทองคำ แล้วผู้ควบคุมกลไกไม่สามารถหาทองคำมาแลกเปลี่ยนได้

ขณะที่ในฝั่งตลาดลงทุนทองคำในประเทศไทย มีการยืนยันว่า การลงทุนในสัญญาล่วงหน้าทองคำมีการควบคุมโดย สำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) (TFEX) คอยดูแล ทำให้ทุกสินค้ามีมาตรฐานรองรับ ไม่มีช่องโหว่ในเรื่องดังกล่าว แต่ในหมู่นักลงทุนก็เริ่มมีข้อสงสัยในจุดมากขึ้น เมื่อสถานการณ์ต่างๆชวนบ่งชี้ว่าราคาทองคำยังอยู่ในทิศทางขาขึ้นระยะยาวเช่นนี้

ธนาคารกลางไม่ลดสะสม

ไม่เพียงเท่านี้ มีรายงานว่าที่ภาพรวมราคาทองคำตั้งแต่ปีก่อนจนถึงปัจจุบันปรับตัวขึ้นไปแล้วมากกว่า 40% นั้นมาจากการรับมือมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา จากแต่เดิมธนาคารกลางและธนาคารขนาดใหญ่ จะลงทุนในตลาดทองคำล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging) แต่พอ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าในหลายประเทศ ประเด็นดังกล่าวนำไปสู่ความกังวลของบรรดาธนาคารต่างๆ ว่าอาจมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าทองคำรวมอยู่ในนั้นด้วย

จากแต่เดิมที่เคยใช้ตลาด Comex ในการป้องกันความเสี่ยงด้วยการวางออเดอร์ และเมื่อเป้าหมายก็เปลี่ยนไปรับเงินสดแทน แต่ปัจจุยันกระแสการลงทุนขอวงธนาคารขนาดใหญ่เปลี่ยนไป หันมาเน้น Physical Gold อย่างมีนัยสำคัญ เพราะยังไม่มีข้อสรุปการขึ้นภาษีนำเข้าทองคำ และที่ผ่านมาการที่ทำ เฮดจิ้ง นั้นทำกำไรได้ไม่มาก ดังนั้นหากมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าก็จะกลายเป็นต้นทุนที่ส่งผลอย่างมากต่อภาพรวม

และเมื่อมีการโยกย้ายจากตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็น Physical Gold พบว่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมามีการเข้าสะสมทองคำของบรรดาธนาคารกลางไปแล้วกว่า 1,200 ตัน ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้จึงมีผลต่อราคาทองคำจริงอย่างหนีไม่พ้น โดยในปีนี้คาดว่าธนาคารกลางจะยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันตลาดทองคำต่อไป สนับสนุนด้วยนักลงทุนในกองทุน ETF ทองคำ และยิ่งหากอัตราดอกเบี้ยลดลงยิ่งเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุน แม้ว่าจะยังมีความผันผวนก็ตาม

ในทางกลับกันทองคำในภาคเครื่องประดับอาจยังคงชะลอตัวต่อไป จากราคาทองคำที่สูงและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงตามไปด้วย และความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาค น่าจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของปี ที่จะช่วยเสริมความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่รักษามูลค่าและเป็นเครื่องมือช่วยลดผลกระทบจากความเสี่ยง
กำลังโหลดความคิดเห็น