xs
xsm
sm
md
lg

หยุดแจกเงินดิจิทัล พิสูจน์แล้วไม่ช่วยเศรษฐกิจ เตือนมองปัญหารอบด้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



หยุดแจกเงินดิจิทัล พิสูจน์แล้วไม่ช่วยเศรษฐกิจ เตือนมองปัญหารอบด้าน

นอกเหนือไปจากการเปิดประเด็นเกี่ยวกับการผุดนโยบายซื้อหนี้ประชาชนแล้ว โครงการแจกเงินดิจิทัล ก็ยังเป็นหนึ่งในประเด็นที่ยังคงได้รับเสียงวิจารณ์อีกพอสมควร โดยล่าสุดเป็นการแสดงความคิดเห็นจากนักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)อย่าง สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

ทั้งนี้ อาจารย์สมชัย วิพากษ์ว่า นโยบายเงินดิจิทัลเฟส 3 ที่ให้กับผู้มีอายุ 16-20 ปีว่า มีการคาดการณ์กันว่าในเฟสที่ 3 นี้อาจได้ผลบ้าง เพราะกลุ่มคนที่แจกยังไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ที่ไม่มากนัก เมื่อได้เงินมาอาจจะใช้เร็ว แต่เชื่อว่าไม่น่าจะได้ผลมากกว่าเฟส 1 ที่มอบให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มเปราะบาง

อย่างไรก็ตามหากอยากให้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจจริงๆ รัฐบาลควรละทิ้งแนวคิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวมากขึ้น และไม่ควรเปิดทางให้นำเงินจำนวนนี้ไปซื้ออะไรก็ได้ แต่ควรกำหนดให้ใช้ไปกับการหาความรู้ อัพสกิล รีสกิล ซึ่งเหมาะสมกับกลุ่มเยาวชนพอดี เพราะเป็นกลุ่มที่กำลังจะเข้าสู่กำลังแรงงานซึ่งอาจจะนำเงินจำนวนนี้ไปเข้ารับการฝึกอบรมเพิ่มเติมให้เป็นไปตามความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งแม้จะไม่เห็นผลในระยะสั้นมากนัก แต่ผลในระยะยาวจะดีกว่ากันมากเพราะเป็นการดึงศักยภาพของคนซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยได้ประโยชน์

สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรียืนยันว่าทุกคนที่เข้าเงื่อนไขจะได้รับสิทธิทั้งหมดนั้น อาจารย์สมชัย กล่าวว่า เป็นการทำให้ตรงกับที่หาเสียงไว้ แต่เห็นชัดแล้วว่าการดำเนินโครงการทั้งเฟส 1- 2 รวมทั้งเฟส 3 ที่กำลังจะเกิดขึ้น ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจไม่ดีจริงอย่างที่หาเสียงไว้ จึงควรทบทวน

“ตอนที่หาเสียงไว้ และตอนที่เป็นรัฐบาลใหม่ๆ บอกว่าโครงการนี้จะทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟู บางคนบอกจะทำให้ไทยหลุดกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้ด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่มีคนเชื่อ และวันนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง ในเมื่อมันพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง ก็ไม่ควรจะเดินหน้าต่อ เรามองว่าเงินนี้นำไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ได้มากกว่าเยอะ” อาจารย์ สมชัย ระบุ

ด้านนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการไปประชุมกับสมาคมธนาคารไทยเรื่องขนาดของการปล่อยสินเชื่อใหม่ และทบทวนการแก้ปัญหาหนี้เดิม ให้ผ่อนคลายเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ โดยการปรับปรุงโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ปัจจุบันดำเนินอยู่ คาดว่าสุดท้ายน่าจะมีประชาชนกลุ่มเป้าหมาย เข้าร่วมโครงการ 50% ของผู้ที่มีสิทธิทั้งหมด โดยคนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วม คุณสู้ เราช่วย คือ คนที่เป็นหนี้แบบมีหลักทรัพย์ ค้ำประกัน อาทิ หนี้บ้าน

นายพิชัย กล่าวว่า ส่วนที่ไม่ค่อยมาเข้าร่วมโครงการแก้หนี้ คือ ลูกหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ฉะนั้นในขั้นต่อไปคือ การพิจารณาว่าจะปรับปรุงมาตรการแก้ไขหนี้สินให้เข้มข้นกว่าเดิม ซึ่งปัจจุบันหนี้ครัวเรือนที่ไม่นับรวมหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์นั้นมีราว 13 ล้านล้านบาท คิดเป็น 9 ล้านบัญชี และนับเป็นประชาชน 5 ล้านราย ทั้งนี้ มีหนี้เสียอยู่ 1.22 ล้านล้านบาท และกลุ่มที่จะเข้าไปโฟกัสคือ ลูกหนี้ที่มีมูลหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อราย ซึ่งมีจำนวน 35% ของกลุ่มหนี้เสีย

"ถ้าเราสามารถเข้าไปช่วยกลุ่มมูลหนี้เสีย ที่ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อคนได้ ก็เท่ากับปัญหาหนี้เสียหายไปจากระบบ 35% ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป็นมีมูลหนี้มูลค่าน้อยส่วนใหญ่ และเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน คือ หนี้บริโภคและหนี้บัตรเครดิต อย่างไรก็ดี ปัญหาตอนนี้คือ ให้ธนาคารโทรเรียกแล้วไม่ค่อยรับสาย ติดต่อไม่ได้ ดังนั้นมาตรการครั้งนี้จะเป็นการโฟกัสลงไปที่กลุ่มนี้จริงๆ และทำให้เห็นว่าสามารถช่วยปรับโครงสร้างหนี้ได้ และจ่ายเท่าที่เขามีกำลัง เพราะสิ่งที่อยากเห็นคือ ทำให้เขากลับมายืนได้"นายพิชัย กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น