แผนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในการยึดเกาะกรีนแลนด์ อาจนำมาซึ่งสงครามระหว่างอเมริกากับเดนมาร์ก จากคำเตือนของ รัสมุส จาร์ลอฟ ส.ส.เดนมาร์ก และประธานคณะกรรมาธิการกลาโหมของรัฐสภา พร้อมประกาศกร้าวว่าโคเปนเฮเกนจะไม่ยอมสละเกาะในแถบอาร์กติกแห่งนี้ให้แก่อเมริกา
ความเห็นของ จาร์ลอฟ มีขึ้นตามหลังการพบปะกันระหว่าง ทรัมป์ กับ มาร์ค รุตต์ เลขาธิการนาโต ซึ่งระหว่างนั้น ทรัมป์ เน้นย้ำถึงความตั้งใจดึงเกาะกรีนแลนด์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ โดยเมื่อถูกถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการผนวกกรีนแลนด์ ทรัมป์ตอบว่า "ผมคิดว่า มันจะเกิดขึ้น" พร้อมชี้แนะให้นาโตมีส่วนช่วยในกระบวนการดังกล่าว
รุตต์ ไม่ได้พูดอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนความคิดนี้หรือไม่ แต่เขายอมรับว่า ทรัมป์ "มีสิทธิโดยสิ้นเชิง" ที่จะหยิบยกความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงในอาร์กติกขึ้นมา อ้างถึงการปรากฏตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของรัสเซียและจีนในภูมิภาคแถบนี้
ในข้อความที่โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ในวันศุกร์ (14 มี.ค.) จาร์ลอฟ บอกว่าเดนมาร์กไม่พอใจที่เลขาธิการนาโต พูดติดตลกกับทรัมป์ เกี่ยวกับเกาะกรีนแลนด์เช่นนี้ "มันอาจหมายถึงสงครามระหว่าง 2 ชาตินาโต" เขาเตือน พร้อมเน้นย้ำว่าเดนมาร์ก ปฏิเสธมาตลอดต่อการพิจารณาละทิ้งการควบคุมเกาะกรีนแลนด์
นอกจากนี้ ในอีกข้อความที่โพสต์ เขาเขียนว่า "การเข้าร่วมกับสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิงสำหรับกรีนแลนด์ และกรณีเช่นนี้ จะสามารถบรรลุเป้าหมายได้เพียงอย่างเดียว นั่นคือสหรัฐฯ ต้องรุกรานทางทหาร"
"กรีนแลนด์ไม่ได้แค่โหวตคัดค้านการเป็นอิสระจากเดนมาร์กแบบทันทีทันใด ขณะเดียวกัน ชาวกรีนแลนด์ก็ไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกาไปตลอดกาล" จาร์ลอฟกล่าว อ้างถึงกรณีพรรคเดโมแครตส์ พรรคขวากลางคว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งทั่วไปของเกาะกรีนแลนด์เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ โดยพรรคนี้วิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดต่อความทะเยอทะยานของทรัมป์ อยากขยายเศรษฐกิจและมุ่งหน้าสู่ความเป็นเอกราชแบบค่อยเป็นค่อยไป
กรีนแลนด์ เป็นแหล่งผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์มาช้านาน สืบเนื่องจากที่ตั้งของเกาะและทรัพยากรแร่มหาศาลที่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ อดีตอาณานิคมของเดนมาร์กแห่งนี้ได้รับอนุมัติให้ปกครองตนเองในปี 1979 แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของโคเปนเฮเกน ในด้านนโยบายต่างประเทศ กลาโหมและการเงิน
ทรัมป์ เคยเสนอซื้อเกาะกรีนแลนด์ครั้งแรกในปี 2019 แต่ความคิดดังกล่าวถูกปฏิเสธอย่างทันทีทันใดจากเดนมาร์กและรัฐบาลเกาะกรีนแลนด์ และนับตั้งแต่กลับสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาโหมกระพือการพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของของอเมริกาขึ้นมาใหม่ อ้างว่าเกาะแห่งนี้มีความสำคัญยิ่งกับความมั่นคงและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของอเมริกา
(ที่มา : อาร์ทีนิวส์)