เครื่องบินส่งตัวอดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ โรดริโก ดูเตอร์เต ล่าช้าพบแวะพักจอดที่ดูไบก่อนมุ่งหน้าสู่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ เจ้าของฉายา “ทักษิณ 2.0” ตามสื่อนอกตั้งจากคดีทำสงครามกับยาเสพติด เคยประกาศชัดมีความสุขกับการฆ่าพวกติดยา แต่ทักษิณเจ้าของแคมเปญตัวจริงปี 2003 ประกาศที่นครพนมเมื่อต้นปีนี้ “ขอให้รู้ทักษิณกลับมาแล้ว” ความยุติธรรมที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC ยังเอื้อมไปไม่ถึง แม้แต่คดีตากใบที่ปล่อยให้หมดอายุความ
อินไควเรอร์ของฟิลิปปินส์รายงานวันนี้(12 มี.ค) อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ โรดริโก ดูเตอร์เต เดินทางด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำ Gulfstream G550 หมายเลขที่หางเครื่อง RP-C5219 โดยคาดว่าจะเดินทางถึงสนามบินรอดเตอร์ดัม(Rotterdam Airport)ที่เนเธอร์แลนด์ วันพุธ(12)ในเวลาราว 14.00 น.
เว็บไซต์ติดตามเที่ยวบินชี้ว่า เครื่องบินของดูเตอร์เตเดินทางล่าช้า มีการแวะที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อเติมน้ำมัน
มะนิลาแถลงยืนยันว่าศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC ได้ออกหมายจับอดีตผู้นำจริงในคดีทำสงครามกับยาเสพติดระหว่างสมัยการดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 30 มิ.ย ปี 2016 - วันที่ 30 มิ.ย ปี 2022
ข่าวการจับกุมอดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ โรดริโก ตามหมายศาล ICC โด่งดังไปทั่วโลก ทำให้มีเสียงเรียกร้องเพิ่มขึ้นทันทีในการให้จับกุมนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ตามหมายจับ ICC ในคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติสงครามกาซาแต่ทว่าสหรัฐฯซึ่งเป็นชาติยักษ์ใหญ่ให้การคุ้มกันจนถูกแอมเนสตีสากลโจมตี รวมไปถึงเยอรมัน โดยว่าที่นายกรัฐมนตรีเยอรมันคนใหม่ ฟริดริค เมิร์ซ (Friedrich Merz)ให้การรับรองผู้นำเทลอาวีฟว่า สามารถเดินทางเข้าไปได้ และฝรั่งเศสเมื่อพฤศจิกายนปีที่แล้วชี้ว่า เนทันยาฮูมีภูมิคุ้มกันจากหมายจับ ICC
Rappler ของฟิลิปปินส์รายงานว่า นอกเหนือจากดูเตอร์เต และเนทันยาฮูแล้ว ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ยังมีชื่อตามหมายจับของศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC ในคดีสงครามยูเครน และส่งผลทำให้ผู้นำรัสเซียไม่สามารถเดินทางออกไปต่างประเทศได้มากนัก ซึ่งสื่อรัสเซียเช่น มอสโกไทม์สรายงานว่าเป็นความพยายามจากโลกตะวันตกที่ต้องการโดดเดี่ยวปูตินและรัสเซีย
อ้างอิงจาก Fulcrum ของสถาบันธิงแทงก์สิงคโปร์ชื่อดัง ISEAS ระบุว่า การจับกุมตัวดูเตอร์เตนี้ไม่ธรรมดาเพราะเขากลายเป็นผู้นำคนแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ถูกศาลระหว่างประเทศจับกุม
เป็นที่รู้กันว่าดูเตอร์เตที่ได้ฉายาจากสื่อนอกตามการรายงานของหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ของฮ่องกงเมื่อวันที่ 2 ก.ย ปี 2017 ว่า เขาเป็น “ทักษิณ 2.0” จากการที่เขาดำเนินรอยตามเท้าทักษิณในการทำสงครามกับยาเสพติดภายในประเทศและนำสู่การโดนจับกุมในที่สุดถึงแม้ว่าฟิลิปปินส์ในเวลาต่อมาจะขอถอนตัวจากการเป็นภาคีร่วมศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC แล้วก็ตาม
ในการรายงานของอินไควเรอร์วานนี้(1)ว่า ขณะที่ดูเตอร์เตยังอยู่ในตำแหน่งภายใต้ปฎิบัติการทำสงครามกับยาเสพติดพบว่า เขาเคยพูดว่าคงมีความสุขที่ได้สังหารพวกติดยาเสพติด 3 ล้านคน โดยในปฎิบัติการฆ่าตัดตอนในการทำสงครามกับยาเสพติดมีผู้เสียชีวิตไปถึง 6,000 คน แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างชี้ว่า ตัวเลขน่าจะสูงกว่านั้น โดยอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC ประเมินตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ราว 12,000 คน - 30,000 คน
ดูเตอร์เตคล้ายกับทักษิณที่ไม่สนใจหากต้องใช้กำลังทหารหรือเจ้าหน้าที่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและยังประกาศต่อสาธารณะในเรื่องนี้อย่างชัดเจน
พบว่าในสิ่งที่เรียกว่า “คำสั่งฆ่า” ดูเตอร์เตเคยกล่าวว่า “เมื่อผมได้กลายเป็นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ผมจะสั่งตำรวจและกองทัพให้หาคนตัวเหล่านี้และสังหารพวกเขา”
ส่วนอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ของไทย นั้นที่ได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ สั่งการให้แต่ละจังหวัดจัดทำบัญชีรายชื่อผู้เกี่ยวข้อง และกำหนดเป้าหมายลดผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้ได้ 100% ภายในสามเดือน
ทักษิณ ชินวัตรที่อื้อฉาวทั้งคดีฆ่าตัดตอนในการทำสงครามกับยาเสพติดและคดีตากใบ หนังสือพิมพ์ไทยภาคภาษาอังกฤษรายงานเมื่อวันที่ 19 ม.ค ต้นปีนี้เองว่า อดีตนายกฯทักษิณส่งสัญญาณอย่างน่าขนหัวลุกไปยังพ่อค้ายาเสพติดว่า “ผมกลับมาแล้ว”
ซึ่งในการหาเสียงที่เมืองศรีสงคราม จ.นครพนม อดีตนายกฯทักษิณได้ประกาศว่า ปัญหายาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะต้องหมดไปภายในสิ้นปีนี้
“พี่น้องผมอยากขอให้พวกคุณไปบอกเจ้าหน้าที่ที่ให้การสนับสนุนอาชญากรเหล่านี้ว่าทักษิณได้กลับมาแล้ว” อดีตผู้นำไทยกล่าวในเดือนมกราคม
และเสริมต่อว่า “และผมไม่ต้องการเห็นหน้าพวกพ่อค้ายาเสพติดแม้แต่คนเดียว และหากว่ามีเจ้าหน้าที่ให้การโอบอุ้มคนเหล่านั้น คนพวกนี้จะถูกจัดการจะไม่มีใครได้รับการยกเว้น ผมเป็นคนแก่ที่แข็งกร้าว พวกปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และยาเสพติดต้องหมดไปภายในสิ้นปี”
ทักษิณเริ่มต้นปฎิบัติการทำสงครามกับยาเสพติดเมื่อกุมภาพันธ์ปี 2003
บีบีซีภาคภาษาไทยรายงานเมื่อวันที่ 17 มี.ค ปี 2017 ว่า สงครามยาเสพติดนี้เหมือนกันทั้ง 2 ชาติที่ต่างเริ่มต้นมาจากตัวผู้นำ โดยของไทย โดยมีการกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งสื่อบีบีซีภาคภาษาไทยรายงานว่า ทักษิณ “พร้อมสั่งการให้แต่ละจังหวัดจัดทำบัญชีรายชื่อผู้เกี่ยวข้อง และกำหนดเป้าหมายลดผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้ได้ 100% ภายในสามเดือน คือระหว่างเดือน ก.พ. - เม.ย. 2546”
บีบีซีชี้ว่า ตลอด 3 เดือนของปี 2546 ในปฎิบัติการทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 1,370 คน แต่สื่อไทยภาคภาษาอังกฤษให้ไว้ที่ 2,873 คน
ดูเตอร์เตเคยขู่จะถอนฟิลิปปินส์ออกไปจากการเป็นสมาชิกสหประชาชาติจากปัญหาคนตายจำนวนมากในปฎิบัติการส่วนทักษิณยั๊วถึงขั้นส่งวาทะแรง “ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ” ตอบโต้กรณีสหประชาชาติจะส่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเข้ามาตรวจสอบ
ขณะที่ดูเตอร์เตกำลังอยู่บนเครื่องบินโดนส่งตัวตามหมายจับ ICC ไปกรุงเฮกในคดีสงครามกับยาเสพติดฟิลิปปินส์ แต่ทว่าทักษิณ ชินวัตร ความยุติธรรมยังคงเอื้อมไม่ถึง
หนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทม์สของอังกฤษที่เคยสอบสวนและตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ 5 ธ.ค ปี 2550 กล่าวไว้ในตอนหนึ่งว่า “...บรรดานักทนายความนักกฎหมายได้ชี้ว่าสงครามยาเสพติดของทักษิณ(อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร)อาจเทียบเท่าอาชญากรรมต่อมนุษยชาติภายใต้มาตรา 7 ของธรรมนูญกรุงโรม(Rome Statute)ของศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC ที่ตั้งขึ้นในปี 1992”("Lawyers have suggested that Thaksin's drug war might amount to a crime against humanity under Article Seven of the Rome Statute of the International Criminal Court [ICC], set up in 1992.")
ส่งผลทำให้อดีตผู้นำไทยกล่าวแสดงความคิดเห็นอย่างขบขันในเวลานั้นว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด!” และเสริมต่อว่า “ผมแค่ให้นโยบาย”
ซึ่งถึงแม้ไทยจะเคยยื่นใบสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกภาคีศาล ICC แต่ไทยไม่ได้มีการให้การสัตยาบันรับรอง
ทั้งนี้ตามการรายงานของ International Drug Policy Consortium เมื่อวันที่ 6 ต.ค ปี 2014 ชี้ว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ NHRC มีแผนจะนำคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติต่อทักษิณเข้าสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC
ขณะเดียวกันคดีตากใบของทักษิณนั้นคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists – ICJ) ได้กล่าวไว้ในวันที่ 26 ต.ค ปีที่แล้วว่า จากการที่คดีสังหารหมู่ตากไบหมดอายุความส่งผลทำให้ความยุติธรรมยังเอื้อมไปไม่ถึง
โดยแถลงการณ์ชี้ไปว่า “คดีนี้ตั้งคำถามถึงความผูกพันธุ์ของเจ้าหน้าที่ไทยต่อความรับผิดชอบ” และยังกล่าวอีกว่า
“คดีนี้ยังตอกย้ำถึงช่องโหว่ภายกรอบการทำงานทางกฎหมายของไทยในการเคารพต่อสถานภาพของการจำกัด(การหมดอายุความ) ซึ่งกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศกำหนดว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรง เป็นต้นว่า การทรมานหรือการตั้งศาลเตี้ยฆ่าตัดตอน และการหายตัวอย่างลึกลับไม่สมควรจะมีสถานะการจำกัดใดๆ”
อินไควเรอร์รายงานวันพุธ(12)ต่อว่า ซารา ดูเตอร์เต ทายาททางการเมืองของโรดริโก ดูเตอร์เต ที่ไม่ต่างจาก นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็กของอดีตผู้นำไทย ตัดสินใจเดินทางติดตามพ่อไปที่เนเธอร์แลนด์
บิดาของเธอที่ในครั้งแรกถูกจับกุมที่ท่าอากาศยานนานาชาตินินอย อากีโนของกรุงมะนิลาก่อนย้ายตัวเขาไปที่ฐานทัพอากาศวิลลามอร์(Villamor)เพื่อควบคุมต่อจนกว่าเที่ยวบินเช่าเหมาลำส่งตัวไป ICC จะพร้อม
NPR ของสหรัฐฯรายงานการแถลงของซารา ดูเตอร์เตได้เปิดเผยว่า พ่อของเธอโดนบังคับอย่างไม่เต็มใจเพื่อนำตัวไปที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์หลังเดินทางกลับเข้ากรุงมะนิลาหลังจากเดินทางไปฮ่องกงเมื่อสุดสัปดาห์ท่ามกลางข่าวลือไปทั่วก่อนหน้าว่า เขาจะถูกหมายจับจากศาล ICC
ปีนี้ถือเป็นปีที่โชคร้ายของตระกูลดูเตอร์เตจากการที่ก่อนหน้าอดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ โรดริโก ดูเตอร์เต จะถูกจับตามหมายศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC บุตรสาวของเขาซึ่งดำรวงตำแหน่งรองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ซารา ดูเตอร์เต ปัจจุบันกำลังจะเข้าสู่กระบวนการไต่สวนการถอดถอนจากตำแหน่งโดยวุฒิสภาฟิลิปปินส์หลังจากที่เธอโดนสภาผู้แทนราษฎรฟิลิปปินส์ลงมติถอดถอนจากการที่เธอเปิดแถลงข่าวต่อสาธารณะข่มขู่จะส่งมือลอบสังหารเอาชีวิตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์