ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับวินิจฉัย คดีที่คณะรัฐมนตรียื่นขอให้พิจารณาเกี่ยวกับการเสนอชื่อรัฐมนตรี ต้อง “มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” ชี้เป็นเพียงขอให้อธิบาย-แปลความหมาย มีลักษณะเป็นการหารือเท่านั้น ไม่ถือว่ามีปัญหาเกิดขึ้นเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของผู้ร้อง
วันนี้ (12 มี.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับวินิจฉัย ในคดีที่คณะรัฐมนตรี ในฐานะผู้ร้อง มอบหมายให้นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) กรณีปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ในการเสนอชื่อบุคคลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี จะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 23/2567 ซึ่งการพิจารณาว่าบุคคลต้อง “มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” และ “ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) (5) และ (3) รวมทั้ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 9 (5) กำหนดว่า ผู้ซึ่งจะได้รับแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมืองตำแหน่งอื่นนอกจากตำแหน่งรัฐมนตรีต้อง “ไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี” ว่ามีขอบเขตหรือแนวทางการพิจารณาอย่างไร
โดยศาลฯ เห็นว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง กำหนดหลักการสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยคณะรัฐมนตรีต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม และมาตรา 158 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน” โดยรัฐธรรมนูญนี้วางกลไกป้องกัน ตรวจสอบ และขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบที่เข้มงวด เด็ดขาด เพื่อมิให้ผู้บริหารที่ปราศจากคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลเข้ามามีอำนาจในการปกครองบ้านเมือง จึงบัญญัติคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไว้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ที่จะต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติสูงกว่าบุคคลที่จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากรัฐมนตรีเป็นฝ่ายบริหารและเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานบริหารราชการแผ่นดิน
การพิจารณาว่าบุคคลใดมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) หรือไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (7) การเสนอบุคคลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเป็นดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี จะต้องพิจารณาคุณสมบัติดังกล่าว และเป็นผู้รับผิดชอบในการนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบุคคลเป็นรัฐมนตรี และเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ดังกล่าว
การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาล ซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 188 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ และอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ ซึ่งปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจขององค์กรตามรัฐธรรมนูญดังกล่าว ที่จะเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ 210 วรรคหนึ่ง (2) ประกอบ พ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (2) และมาตรา 44 ต้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญโดยตรง หรือมีการกำหนดบทบาทหน้าที่และอำนาจหลักไว้ในรัฐธรรมนูญ และการยื่นคำร้องในกรณีดังกล่าวจะต้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจที่เกิดขึ้นแล้ว
เมื่อข้อเท็จจริงตามคำร้อง และเอกสารประกอบคำร้องปรากฏว่า การเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นหน้าที่ และอำนาจของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการใช้อำนาจในทางบริหาร และต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ คำร้องดังกล่าวเป็นเพียงการขอให้อธิบาย หรือแปลความหมายบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ของบุคคลที่จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) (5) และ (7) และ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 9 (5) ว่ามีความหมายขอบเขตเพียงใด อันมีลักษณะเป็นการหารือเท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของผู้ร้องเกิดขึ้นแล้ว อีกทั้งกรณีการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองตำแหน่งอื่นตามคำร้อง ซึ่งไม่ใช่รัฐมนตรี ก็เป็นอำนาจให้ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตาม พ.ร.บ. เฉพาะข้าราชการการเมือง มิใช่การใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องด้วยเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (2) และมาตรา 44
จึงมีมติโดยเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในประเด็นที่ว่า บุคคลต้อง “มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ ตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” โดยเสียงข้างน้อย 1 เสียง คือนายอุดม สิทธิวิรัชธรรม เห็นว่า เป็นกรณีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ประกอบมาตรา 158 วรรคหนึ่ง มาตรา 160 (4) และ (5) และมาตรา 164 วรรคหนึ่ง (1) และเห็นว่า เป็นประเด็นปัญหาซึ่งเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนประเด็นอื่น ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. หารือในทางลับ โดยมอบหมายให้นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือส่งคำร้องส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอความชัดเจนคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและคำนิยามไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ท่ามกลางกระแสข่าวว่า เพื่อให้นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่คุณสมบัติสุ่มเสี่ยง และไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ ให้กลับมาเป็นรัฐมนตรีได้ โดยไม่ให้เกิดซ้ำรอยกรณีรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ทำให้นายเศรษฐาต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่นายชูศักดิ์กล่าวว่า อยากให้เป็นเรื่องชั้นความลับ เพราะเกรงว่าจะถูกตีความ ซึ่งสำนักเลขาธิการ ครม. ตีเป็นชั้นความลับอยู่ พูดแต่เพียงว่าเพื่อให้เกิดความชัดเจน