เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ออกมาแสดงความกังวลวานนี้ (10 ธ.ค.) เกี่ยวกับแผนรีดภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ ของว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดยชี้ว่าอาจเป็นอุปสรรคต่อการลดเงินเฟ้อ ซ้ำเติมปัญหาค่าครองชีพ และทำให้ภาคธุรกิจมีต้นทุนสูงขึ้น
เยลเลน ซึ่งไปร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในงาน Wall Street Journal CEO Council ยังเป็นห่วงความยั่งยืนทางการคลังของสหรัฐฯ และเตือนสภาคองเกรสว่าจะต้องหารายได้มาชดเชย หากมาตรการลดภาษีบุคคลและธุรกิจรายย่อยของ ทรัมป์ ที่ประกาศใช้ในปี 2017 และกำลังจะหมดอายุลงในปี 2025 ถูกขยายเวลาออกไปอีก
ทรัมป์ ประกาศว่าจะรีดภาษีสินค้านำเข้าจีนในอัตรา 60% และจะเก็บภาษีสินค้าจากประเทศอื่นๆ ระหว่าง 10-20%
เยลเลน เตือนว่า มาตรการเช่นนี้ “จะส่งผลให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องจ่ายมากขึ้น และสร้างแรงกดดันทางต้นทุนต่อบริษัทต่างๆ”
“ดังนั้น มันจะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมบางประเภทในสหรัฐฯ และเพิ่มค่าใช้จ่ายของภาคครัวเรือนอย่างมีนัยสำคัญ” ขุนคลังหญิง ระบุ
“นี่คือยุทธศาสตร์ที่ดิฉันเกรงว่าจะทำลายความก้าวหน้าในการแก้ไขเงินเฟ้อที่เราทำกันมาแล้ว และส่งผลเชิงลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ”
เยลเลน ยังเตือนด้วยว่า หากมาตรการลดภาษีที่ระบุไว้ในกฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act ปี 2017 ถูกต่ออายุไปอีก จะทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น 5 ล้านล้านดอลลาร์ในระยะ 10 ปี และสภาคองเกรสจำเป็นต้องหาวิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้หนี้สินของภาครัฐถึง “จุดระเบิด”
ยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2024 ซึ่งสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 30 ก.ย. เพิ่มขึ้นเป็น 1.83 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในยุคก่อนและหลังโควิด-19 ขณะที่ภาระดอกเบี้ยพุ่งทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก
“ดิฉันเป็นห่วงเรื่องความยั่งยืนทางการคลัง และรู้สึกเสียใจที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่านี้” เยลเลน ระบุ “ดิฉันเชื่อว่าเราจำเป็นต้องทำให้การขาดดุลงบประมาณลดลง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงเช่นนี้”
ที่มา: รอยเตอร์